⦁…แม้ “ศบค.” ยังละล้าละลัง ไม่ค่อยอยากให้ “ผ่อนคลาย” มาตรการควบคุมการระบาดของโรคสักเท่าไร ส่งผลให้ “รัฐบาล” ซึ่งทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่า “ประชาชนเดือดร้อนกันหนักเพราะถูกบังคับให้หยุดทำมาหากิน” เนื่องจาก “คนส่วนใหญ่ไม่มีเงินเก็บพอที่จะยืดเวลาขาดรายออกไป” อีกทั้ง “หนี้สินและค่าใช้จ่ายประจำ” เป็นภาระที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ พาให้ “ครอบครัวเครียดขึ้น” อันนำมาซึ่งปัญหาอีกสารพัด แต่ความสำเร็จของ “ทีมแพทย์” ทำให้ “รัฐบาล” ต้องละล้าละลังร่วมไปกับทีมแพทย์ โดยเฉยชาต่อชะตากรรมของชาวประชาชนที่ส่อจะ “ล้มละลาย”
⦁…สภาพที่เกิดขึ้นกับการรับมือ “โควิด-19” นับวันยิ่งชัดว่า “ผู้บริหารประเทศ” ไม่เข้าใจประชาชน ทุกมาตรการมีปัญหายุ่งเหยิงตามมาหมด “เราไม่ทิ้งกัน 5,000 บาท” จนป่านนี้ยังโกลาหลไม่จบ เพราะยิ่งชัดเจนว่า “คนพึ่งพาตัวเองไม่ไหว” กลับไม่ได้รับ “คนจนจริงๆ” กลายเป็น “พวกนอกระบบ” ไม่มีอยู่ในบัญชีที่รัฐบาลนำรายชื่อมาช่วยเหลือ เพราะ “คนเหล่านี้” ทำงานอิสระ หากินไปวันๆ เกือบทั้งหมดไม่ได้ขึ้นทะเบียนในบัญชีอะไรของทางราชการ เมื่อ “เสนอหน้าไปขอความช่วยเหลือก็เด้ง” เพราะไม่มีหลักฐานว่า “เคยทำงานแล้วตกงาน” ไม่อยู่ในข่ายที่จะได้รับการเยียวยา
⦁…ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือ “งานขายลอตเตอรี่” คนที่ได้รับความช่วยเหลือคือ “คนที่ขึ้นทะเบียนซื้อสลากกินแบ่งกับรัฐบาล” ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ขายที่มีแผงเป็นหลักเป็นแหล่ง แต่ “คนขายหวยรัฐส่วนใหญ่” ซึ่ง “เร่ขาย” ไม่มีชื่อในทะเบียน ทั้งที่เป็นคนที่ได้รับผลกระทบเต็มๆ และ “พึ่งพาตัวเองไม่ได้” กลับอยู่นอกบัญชี “หมดสิทธิที่จะได้รับ”
⦁…หลายอาชีพก็ลักษณะเดียวกัน “คนเดือดร้อนจริงไม่ได้” ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้ “กระทรวงการคลัง” กลายเป็นแหล่งชุมนุมของคนทุกข์ เมื่อเปิดอุทธรณ์สิทธิ ทั้งที่เป็น “แจกเงินสดกันตรงๆ” และจำนวนไม่น้อย “5,000-15,000 บาท” แต่กลับโดนด่าเละ และจะยิ่งหนักขึ้น เนื่องจากเที่ยวนี้เศรษฐกิจทรุดยาว มองไม่เห็นทางว่า “คนจนในเมืองจะเอาตัวรอดกันอย่างไร”
⦁…อีกมาตรการที่สะท้อนว่า “รัฐบาลไม่รู้จัก ไม่เข้าใจประชาชนประเทศตัวเอง” คือ “ห้ามขายเหล้า” เพราะคิดแค่ “การกินเหล้าเป็นเหตุให้คนไม่รักษาระยะห่าง” เมื่อผ่อนคลายให้ขายได้ ปรากฏคนแห่ไปออกันซื้อเหล้า ซึ่งเป็นภาพที่สะท้อนความล้มเหลวของ “มาตรการสร้างระยะห่าง” เช่นเดียวกับ “การให้หยุดงาน” แต่ไม่คิดต่อว่า “แล้วจะกินอะไร” ทำให้เกิดเหตุการณ์ “แจกอาหารที่ไหน” คนแห่กันรับมาประทังชีวิตกันแน่น จนน่าห่วงว่าจะ “แพร่เชื้อ”
⦁…แม้ “อุ้มการบินไทย” จะเป็น “วาระที่หนีไม่ได้” แต่ “โจทย์ใหญ่” อยู่ที่ “50,000 ล้านบาท” ที่ “รัฐบาลต้องไปกู้มา” อันหมายถึง “ประชาชนต้องร่วมกันใช้หนี้ในอนาคต” ทำอย่างไรไม่ให้เป็นการ “โปรยเงินเล่นในอากาศ โดยมองไม่เห็นว่าจะเกิดประโยชน์อะไรขึ้นมา” เพราะในที่สุดแล้ว “การบินไทย” ซึ่งเหตุของการล่มสลาย เป็นที่รู้กันว่าไม่ได้อยู่ที่ “ขาดเงินทุน” แต่หลายคนเอามาแฉกันให้เห็นจะๆ อยู่เวลานี้คือ “ความห่วยแตกของการบริหาร” ที่ “ต้นทุนไม่จำเป็นท่วมหัว” หาก “กู้เงินให้เป็นภาระประชาชนในอนาคตถึง 50,000 ล้านบาท” โดยเชื่อกันว่า “ที่สุดแล้วไปไม่รอดอยู่ดี” บาปกรรมที่ทำกับประชาชน จะไม่ติดตัว “ผู้มีส่วนร่วมในการอนุมัติหรือ”
⦁…วิกฤตประเทศขณะนี้ เมื่อมองผ่านการบริหารที่ก่อโกลาหลไปทั่ว พร้อมกับทำให้ “ธุรกิจใหญ่น้อย” รู้สึก “สิ้นหวัง” สภาพแบบนี้หากเป็น “ปกติ” ยากที่จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงในรัฐบาล แต่ครั้งนี้ไม่เป็นอย่างนั้น “อำนาจที่ท่วมท้น” จากการวางกลไกสนับสนุนได้เข้มแข็งยิ่ง ทำให้ “ไม่มีอะไรที่จะสร้างความกระทบกระเทือนให้กับผู้ครองอำนาจได้เลย” หากจะ “ปรับ ครม.” มีอยู่เหตุผลเดียวคือ “การจัดสรรประโยชน์กันใหม่ในพรรคร่วมรัฐบาล” ไม่เกี่ยวกับประเทศกับประชาชน หรือกับใครทั้งสิ้น
⦁…นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง ย่อมต้องดิ้นรนหาทางที่จะช่วยเหลือประชาชน นิพนธ์ บุญญามณี ในฐานะ “รมช.มหาดไทย” ผลักดันเต็มที่ในการลดภาระ “ค่าน้ำ-ค่าไฟ” ให้กับประชาชน ที่สั่งการให้เกิดความแน่นอนว่าจะไม่ไปทำให้ประชาชนเดือดร้อนคือ “ช่วงนี้ห้ามตัดน้ำตัดไฟเด็ดขาด” ใครค้างเท่าไรเอาไปหาทางแก้กันทีหลัง
ชโลทร