วันที่ 10 มกราคม 2540 คุณจำนูญทำสัญญากู้ยืมเงินจากคุณโผง 250,000 บาท กำหนดว่า จะนำต้นเงินกู้ 150,000 บาท มาชำระในวันที่ 15 มกราคม 2540 และชำระวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2540 อีก 100,000 บาท
คุณจำนูญออกเช็คให้แก่คุณโผง 2 ฉบับลงวันที่ 15 มกราคม 2540 จำนวน 150,000 บาท และอีกฉบับหนึ่ง ลงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2540 จำนวน 100,000 บาท
เช็คฉบับแรกขึ้นเงินได้ไร้ปัญหา ส่วนเช็คฉบับที่ 2 ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2540 โดยให้เหตุผลว่าบัญชีปิดแล้ว
คุณโผงนำคดีมาฟ้อง ขอให้ศาลพิพากษาลงโทษคุณจำนูญตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า คุณจำนูญมีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค มาตรา 4 ให้จำคุก 8 เดือน
คุณจำนูญอุทธรณ์
ศาลชั้นอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
คุณโผงฎีกาว่า ในวันที่คุณจำนูญออกเช็ค คุณจำนูญยินยอมลงชื่อในสัญญากู้ การที่คุณจำนูญออกเช็คก็เพื่อชำระหนี้แก่คุณโผงที่เกิดขึ้นในระยะเวลากระชั้นชิดกัน จะถือว่าสัญญากู้เพิ่งมาทำภายหลังการออกเช็คให้แก่คุณโผง แล้วไม่สามารถบังคับกันได้ตามกฎหมายหาได้ไม่ แม้สัญญากู้ดังกล่าวทำขึ้นภายหลังก็มีผลบังคับกันได้ตามกฎหมายนั้น
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของคุณโผงว่า คุณจำนูญกระทำผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจาการใช้เช็คหรือไม่
เห็นว่า ตามมาตรา 4 แห่ง พ.ร.บ.ดังกล่าวนั้น “วันออกเช็ค” ย่อมหมายถึง วันที่ลงในเช็ค ส่วนวันที่เขียนเช็คหาใช่วันออกเช็คไม่
เมื่อคุณจำนูญออกเช็คพิพาทให้แก่คุณโผงสั่งจ่ายเงิน 100,000 บาท ลงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2540 ตรงตามวันครบกำหนดตามสัญญากู้ แสดงว่าขณะเช็คพิพาทถึงกำหนดสั่งจ่ายซึ่งถือว่าเป็นวันออกเช็คนั้น มูลหนี้ตามเช็คพิพาทมีหลักฐานการกู้ยืมเป็นหนังสือสามารถฟ้องร้องบังคับคดีได้ตามกฎหมายแล้ว หาใช่ขณะที่คุณจำนูญออกเช็คพิพาทให้แก่คุณโผง คุณจำนูญเป็นหนี้คุณโผงอยู่จริงแต่หนี้นั้นไม่อาจบังคับได้ตามกฎหมายดังที่ศาลชั้นอุทธรณ์วินิจฉัยไม่
เมื่อการกระทำของคุณจำนูญเป็นการออกเช็คโดยมีเจตนาไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค คุณจำนูญจึงมีความผิดตามฟ้อง
พิพากษากลับว่า คุณจำนูญมีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค มาตรา 4 ให้จำคุก 2 เดือน ปรับ 10,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้
(เทียบคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7100/2 542)
+++++++++++++++++++++
พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534
มาตรา 4 ผู้ใดออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายโดยมีลักษณะหรือมีการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้
(1) เจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้น
(2) ในขณะที่ออกเช็คนั้นไม่มีเงินอยู่ในบัญชีอันจะพึงให้ใช้เงินได้
(3) ให้ใช้เงินมีจำนวนสูงกว่าจำนวนเงินที่มีอยู่ในบัญชีอันจะพึงให้ใช้เงินได้ในขณะที่ออกเช็คนั้น
(4) ถอนเงินทั้งหมดหรือแต่บางส่วนออกจากบัญชีอันจะพึงให้ใช้เงินตามเช็คจนจำนวนเงินเหลือไม่เพียงพอที่จะใช้เงินตามเช็คนั้นได้
(5) ห้ามธนาคารมีให้ใช้เงินตามเช็คนั้นโดยเจตนาทุจริต
เมื่อได้มีการยื่นเช็คเพื่อให้ใช้เงินโดยชอบด้วยกฎหมาย ถ้าธนาคารปฏิเสธไม่ใช้เงินตามเช็คนั้น ผู้ออกเช็คมีความผิดต้องระวางโทษปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือทั้งปรับทั้งจำ
โอภาส เพ็งเจริญ [email protected]