Old Normal : สมหมาย ปาริจฉัตต์

Old Normal : สมหมาย ปาริจฉัตต์

ผลสำเร็จจากการต่อสู้กับโรคระบาดใหม่ไวรัสโควิด-19 อันเนื่องมาจากความเข้มแข็งของระบบสาธารณสุขและความเสียสละทุ่มเทของคณะแพทย์ไทยตั้งแต่รุ่นใหญ่จนถึงรุ่นใหม่ ทำให้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ยิ้มได้ หลังจากหน้าหม่นหมองวิตกกังวลในช่วงแรก เลยได้โอกาสประกาศชัยชนะเชิญชวนพี่น้องคนไทยทุกหมู่เหล่าร่วมมือร่วมใจกันต่อไปอีก

แถลงการณ์ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 17 มิถุนายนที่ผ่านมา ขอให้ก้าวข้ามเกมการเมือง รัฐบาลจะปรับเปลี่ยน เป็นรัฐบาล New Normal ด้วยแนวทางการทำงานใหม่ 3 ประการ

หัวใจสำคัญก็คือ จะปรับตัวเป็นรัฐบาลเปิด รับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนเพื่อทำงานเชิงรุก บริหารแบบมีส่วนร่วม

นี่คือเวลาที่โลกเปลี่ยน และเราต้องเปลี่ยนด้วย ที่สำคัญ นี่คือเวลาแห่งโอกาสที่จะขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า และยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคนŽ ท่านผู้นำกล่าวเชิญชวนอีกครั้ง ก่อนปิดท้ายรายการครับ

Advertisement

ฟังแล้วชักมีความหวัง สะท้อนความตั้งใจ ความพยายามที่จะผลักดันให้เกิดความเปลี่ยนแปลงให้ได้ แต่ความเป็นจริงที่ยังดำรงอยู่ซึ่งน่าเป็นห่วง คือ หัวส่ายแล้ว หางจะกระดิกตามหรือไม่ ยังไม่มั่นใจ เพราะความเปลี่ยนแปลงใดๆ ก็ตาม ผู้นำส่วนบนคนเดียวไม่มีทางสำเร็จแน่นอน ต้องขึ้นอยู่กับเงื่อนไขปัจจัยอีกมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเงื่อนไขเชิงระบบและพฤติกรรมของคนระดับถัดๆ ไป

รัฐมนตรีที่ดูแลกระทรวง ทบวง กรม ทั้งหลายต้องขานรับและปรับตัวตามไปด้วยอย่างจริงจัง ขณะที่ข้าราชการซึ่งเป็นกลไกฝ่ายปฏิบัติต้องปรับเปลี่ยนขนานใหญ่ด้วย

แต่ความเป็นจริงของระบบราชการและข้าราชการไทยยังคงเป็นระบบปิด ระบบอำนาจ ท็อปดาวน์จากบนลงล่าง ติดยึดกฎระเบียบและดุลพินิจของราชการคือ ความถูกต้อง ยังไม่เปลี่ยนเป็นระบบเปิดอย่างกว้างขวาง

Advertisement

ความตั้งใจขของ พล.อ.ประยุทธ์ จึงเป็นเพียงการส่งสัญญาณเพื่อจุดประกาย กระตุ้นให้เกิดความหวัง จนกลายเป็นพลังร่วม ภายใต้โครงสร้างระบบการเมืองแบบก๊กก๊วน วัดกันที่จำนวนมือมากกว่าแนวทางนโยบายและผลงาน กับระบบอำนาจราชการเดิมๆ จึงเป็นมหาอุปสรรคใหญ่

การก้าวไปสู่ New Normal ท่ามกลางความเป็นจริงที่ยังเป็น Old Normal จึงน่าเป็นห่วงและน่าเห็นใจไปพร้อมกัน ระบบราชการและข้าราชการจะขับเคลื่อนปรับเปลี่ยนตัวเองก็ต่อเมื่อทัศนคติ ค่านิยม วัฒนธรรมการปฏิบัติงาน ปฏิบัติตนที่ฝังรากมานานเปลี่ยน กฎระเบียบข้อบังคับที่ร้อยรัดอยู่ถูกปลดล็อกผ่อนคลายเสียก่อนเท่านั้น

ผู้ที่จะปลดล็อกก็คือ คนออกกฎหมาย ได้แก่ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคการเมืองทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน จนถึงวุฒิสมาชิก หากรัฐมนตรีแต่ละกระทรวง พรรคการเมืองแต่ละพรรค ฝ่ายกำหนดนโยบาย บริหาร และกำกับติดตามไม่ขยับ ก็ยากที่ข้าราชการฝ่ายปฏิบัติจะเขยื้อน

ก รณีตัวอย่างซึ่งเป็นรูปธรรมที่สุด การดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติและแผนปฏิรูปประเทศ 13 ด้าน ที่ประกาศเป็นธงนำมาตั้งแต่รัฐประหาร 2557 และผลักดันให้เขียนบังคับไว้ในรัฐธรรมนูญ 2560

ความเป็นจริงเป็นอย่างไร หากได้ฟังการประชุมอภิปรายของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา วาระที่ว่าด้วยผลการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติและแผนปฏิรูปประเทศ ทุกครั้งที่ผ่านมา สะท้อนชัดว่า คืบหน้าไปไม่ถึงไหน ไม่ว่า ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ปฏิรูปตำรวจ ปฏิรูปการศึกษา ปฏิรูประบบราชการ การบริหาร การกระจายอำนาจ ฯลฯ บางเรื่องกลับถอยหลังลงคลองเสียอีก เพราะพรรคการเมืองไม่เชื่อมาตั้งแต่ต้นแล้วว่าจะสำเร็จ

แม้เขียนบังคับไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับเพื่อพวกเรา 2560 ก็ตาม เลยไม่เห็นและไม่ให้ความสำคัญ ไม่มีพรรคไหนหยิบเอาเรื่องนี้ขึ้นมาทำจริงจัง ผลักดันเป็นพิเศษ ไม่มีเจ้าภาพ ในฝ่ายพรรคการเมืองนั่นเอง

ฉะนั้นความหวังที่จะก้าวไปสู่การเป็นรัฐบาล New Normal การเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม New Normal ที่ พล.อ.ประยุทธ์ประกาศเชิญชวนทุกฝ่ายเข้าร่วม ปรับเปลี่ยนความคิดและพฤติกรรมจึงยังห่างไกล คณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.) มีแต่ภาคการเมือง ภาคราชการ ภาคเอกชน ไม่มีภาคประชาชนที่มีบทบาทเป็นที่ยอมรับของภาคส่วนต่างๆ ในสังคมอย่างแท้จริง

ยิ่งกำลังจะปรับคณะรัฐมนตรีครั้งใหม่ในอีกไม่กี่วัน การเคลื่อนไหวของกลไกหลักขับเคลื่อน ผลักดันการปฏิรูป จาก Old Normal ไปสู่ New Normal ยิ่งทอดเวลาออกไปอีกนาน นอกจากนี้ วิกฤตโควิด-19 จะเปลี่ยนเป็นโอกาส เกิดการบริหารแบบมีส่วนร่วมจริงก็ต่อเมื่อ การควบคุมต่อมความอดทนต่อความเห็นต่าง ยกระดับขึ้นอีกหลายเท่า จนมองคนเห็นต่างเป็นมิตร

การปฏิบัติต่อทุกฝ่ายต้องเป็นมาตรฐานเดียว ไม่ใช่เข้มงวดคนอื่น พวกตัวยกเว้น ผ่อนปรน สองมาตรฐาน สามมาตรฐาน จนผู้คนปฏิเสธ วางเฉย ไม่ให้ความร่วมมือ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image