ฟังแต่ไม่ได้ยิน : โดย สมหมาย ปาริจฉัตต์

ฟังแต่ไม่ได้ยิน : โดย สมหมาย ปาริจฉัตต์

ทั้งๆ ที่เงื่อนไขการปรับคณะรัฐมนตรีทยอยเกิดขึ้นมาตามลำดับ นับแต่นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แสดงเจตนารมณ์ขอลาออกหลังจากรัฐบาลผ่านพ้นการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ก่อนการระบาดของไวรัสโควิด-19

ติดตามมาด้วยการลาออกจากหัวหน้าพรรคและสมาชิกพรรครวมพลังประชาชาติไทยของ ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล เหลือไว้แต่ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ผู้นำพรรคตัวจริงเลยแก้ลำยื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ ขอเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีเป็นนายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ แกนนำพรรคคนสำคัญ เพราะหัวหน้าพรรคคนเดิมขาดจากการเป็นสมาชิกพรรคแล้ว การปรับเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีก็ยังไม่เกิดขึ้น

จนกระทั่ง มีการใช้เสียงโหวตเปลี่ยนกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐแกนนำรัฐบาล เพื่อให้นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคและนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค พ้นจากตำแหน่งไปพร้อมกัน โดยไม่ได้รับเลือกกลับเข้ามาเป็นกรรมการบริหารพรรคอีก หัวหน้าพรรคเปลี่ยนเป็น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ มีนายอนุชา นาคาศัย เป็นเลขาธิการพรรค

สัญญาณการปรับคณะรัฐมนตรีชัดเจนขึ้นอีกระดับหนึ่ง แต่ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ยังไม่ตัดสินใจ ได้แต่ให้สัมภาษณ์ทำนองว่า อำนาจหน้าที่การปรับคณะรัฐมนตรีเป็นของนายกรัฐมนตรี และจำเป็นต้องมีโควต้าของนายกรัฐมนตรีส่วนหนึ่งด้วย ไม่บอกว่าโควต้าดังกล่าวหมายถึง ตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงใดบ้าง

Advertisement

เหตุที่การปรับคณะรัฐมนตรียังไม่เกิดขึ้น ด้านหนึ่งมีกระแสข่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ต้องการให้การพิจารณากฎหมายสำคัญคือ ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 ผ่านการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี สภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา ประกาศใช้เป็นกฎหมายก่อน การปรับคณะรัฐมนตรีถึงจะเกิดขึ้นหลังจากนั้น

ถ้าเป็นเช่นนั้นระยะเวลาการปรับคณะรัฐมนตรีก็จะทอดเวลาออกไปอีกนานนับเดือน เพราะกระบวนการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ หากเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรวาระแรกต้นเดือนกรกฎาคม ต้องผ่านกระบวนการการแปรญัตติ เพื่อนำกลับเข้ามาสู่การพิจารณาวาระสองสาม โดยประธานคณะกรรมาธิการตามประเพณีปฏิบัติที่ผ่านมาจะได้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นั่นหมายความว่า นายอุตตม ถ้าไม่สะบัดก้นออกไปเสียก่อนก็ยังคงนั่งอยู่ในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังต่อไปอีกพักใหญ่ รวมทั้งนายสนธิรัตน์ นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ และนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล อีกด้วย

นอกจากประเด็นการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 แล้ว เงื่อนไขที่ทำให้การตัดสินใจปรับคณะรัฐมนตรียาวนานออกไป ก็คือ องค์ประกอบ โครงสร้าง เก้าอี้รัฐมนตรีของพรรคร่วมรัฐบาลกับโควต้านายกรัฐมนตรี จะจัดสรรอย่างไรให้ลงตัว

Advertisement

โดยเฉพาะอย่างยิ่งทีมเศรษฐกิจ หาก พล.อ.ประยุทธ์เลิกใช้บริการนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีและทีม หรือนายสมคิดขอยุติบทบาท กลับบ้านไปเลี้ยงหลานพร้อมกับลูกทีม ทีมเศรษฐกิจใหม่ที่มาแทนจะเป็นใคร มาจากไหน ผู้ติดตามความเปลี่ยนแปลงกำลังรอดูว่า หัวหน้าทีมเศรษฐกิจใหม่จะมีศักยภาพระดับไหน

ที่สำคัญทิศทางการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจจะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ที่ถูกวิจารณ์ว่าเอื้อประโยชน์ให้กับทุนใหญ่ ขณะที่ความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยกับคนจนยิ่งถ่างกว้างออกไปหรือไม่

ยิ่งการปรับคณะรัฐมนตรีทอดเวลายาวนานออกไปนานเท่าไหร่ แรงกระเพื่อมในพรรคแกนนำและพรรคร่วมรัฐบาล จะเพิ่มความกดดันต่อ พล.อ.ประยุทธ์ ตามลำดับ

ขณะที่ผลการดำเนินนโยบายที่ผ่านมา เรื่องเร่งด่วน 12 เรื่อง คืบหน้าไปไม่ถึงไหน และยังไม่ชัดเจนเท่าที่ควรว่าผลจะออกมาเมื่อไหร่ อาทิ การแก้ไขปัญหาในการดำรงชีวิตของประชาชน ปัญหาทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการทั้งฝ่ายการเมืองและฝ่ายราชการประจำ สนับสนุนให้มีการศึกษา การรับฟังความเห็นของประชาชนและการดำเนินการเพื่อแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญฯ

การปรับคณะรัฐมนตรีแต่ละครั้ง เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายตามความต้องการของคนมาใหม่ ทำให้ขาดความต่อเนื่อง ส่งผลถึงประสิทธิภาพการดำเนินงานในภาพรวม

ขณะที่หัวหน้ารัฐบาลประกาศหนักแน่นจะเป็นรัฐบาล New Normal พร้อมรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน แต่ความเป็นจริงที่กำลังดำเนินไปกลับสวนทางกัน การเมืองยังคงเป็นการเมืองยุคเก่า ผลจะปรากฏออกมาอย่างไรจึงอ่านได้ไม่ยาก

ตัวอย่าง ความเห็นขององค์กรภาคพลเมืองที่มีบทบาทมายาวนาน คือ คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (คป) สะท้อนว่า คณะรัฐมนตรีชุดปัจจุบันไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองได้ และไม่มีผลงานด้านการปฏิรูปใดๆ ที่เป็นรูปธรรม เพราะมัวแต่ทำงานเอาหน้า แก่งแย่งผลประโยชน์ พยายามรวบอำนาจและสร้างความขัดแย้งรอบใหม่ ดังนั้นต้องปรับเปลี่ยนรัฐมนตรีสีเทาที่มีชื่อเสียงและพฤติกรรมอื้อฉาวเรื่องการทุจริตประพฤติมิชอบ ปกปิดทรัพย์สินและมีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติด และบุคคลที่ไร้ความสามารถออกจากตำแหน่งทุกคน

จากนั้นแต่งตั้งบุคคลใหม่เข้ามาแทน โดยพิจารณาจากความสามารถ ความซื่อสัตย์ และการเสียสละต่อส่วนรวมอย่างแท้จริง มิใช่แต่งตั้งตามจำนวนโควต้าของพรรคการเมือง

โฉมหน้าคณะรัฐมนตรีใหม่ที่จะปรากฏออกมาอีกไม่นาน จะเป็นสิ่งพิสูจน์ว่า ท่านผู้นำ เก่งแต่พูด ฟังแต่ไม่ได้ยิน หรือไม่

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image