นายชวน หลีกภัย กับ นายอุทัย พิมพ์ใจชน ต่างก็มีศักดิ์ระดับ “ประธานสภาผู้แทนราษฎร” อันเป็นประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ
แต่ทั้งสองมีทัศนคติต่อการเมืองไทยไม่เหมือนกันเลย
“ชวน” โอนอ่อน “อุทัย” แจ่มชัดทระนง !
ตั้งแต่มิถุนายน 2475 เป็นต้นมา การเมืองไทยในระบอบประชาธิปไตยที่มีสมมุติฐานว่า “อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย” ให้ 3 อำนาจ “บริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ” ต่างทำหน้าที่มีอิสระ
“ความเป็นจริง” เป็นเช่นไร
ช่วง 20 ปีหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองระหว่าง พ.ศ.2475-2495 มี “รัฐประหาร” 5 ครั้ง ส่วนที่ก่อการแล้วแพ้เรียกว่า “กบฏ” นั้น มี 7 ครั้ง รวมแล้ว 12 ครั้ง
สรุปว่า ทุก 1 ปีกับ 8 เดือน ถ้าไม่เกิด “กบฏ” ก็ “รัฐประหาร”
ฝ่ายนิติบัญญัติหรือสภาผู้แทนราษฎรอยู่ในสภาพง่อนแง่น !
ระยะต่อมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2500-2557 รวมเวลา 57 ปี มี “รัฐประหาร” อีก 8 ครั้ง
เฉลี่ยแล้วทุก 7 ปีมีรัฐประหาร 1 ครั้ง
นับตั้งแต่มีการสถาปนารัฐสภาไทยและมีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรกในวันที่ 28 มิถุนายน 2475 เป็นต้นมา “ประธานสภาผู้แทนราษฎร” ได้นั่งเก้าอี้ “ประมุข” ฝ่ายนิติบัญญัติ 23 ครั้ง
ที่เหลืออีก 19 ครั้ง ตกเป็นของประธานวุฒิสภา ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือแม้กระทั่ง “ประธานที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี” หรือชื่ออื่นใดซึ่งไม่ได้มาจาก “ผู้แทน” ของปวงชนชาวไทย
กล่าวได้ว่า ตั้งแต่มีรัฐประหารครั้งแรกโดยพระราชกฤษฎีกาในวันที่ 1 เมษายน 2476 เป็นต้นมา รัฐสภาไทยก็ง่อนแง่นจนสิ้นสภาพในยุค “วิลาศ โอสถานนท์” เป็นประธานวุฒิสภา และก้าวขึ้นนั่งเก้าอี้ “ประมุข” ฝ่ายนิติบัญญัติในปี พ.ศ.2489
ฝ่ายนิติบัญญัติอยู่ในมือตัวแทน “นักรัฐประหาร” ตั้งแต่ พ.ศ.2489, 2499, 2502 เรื่อยมาจนถึงปี 2511-2517
สลับฉากให้ ประสิทธิ์ กาญจนวัฒน์ กับ อุทัย พิมพ์ใจชน จากประธานสภาผู้แทนราษฎรมานั่งระหว่าง พ.ศ.2518-2519 แค่ชั่วอึดใจ
พอถึงปลายปี 2519 ตำแหน่ง “ประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ” ก็ถูก “คนนอก” ยึดเอาไปครอบครองยาวนาน 16 ปี จนถึง พ.ศ.2535
ล่วงมาถึงวันนี้ถ้าจะกล่าวตามสำนวน อุทัย พิมพ์ใจชน ก็ต้องว่า “ประชาธิปไตยไทยก้าวน้อย-ถอยมาก”
“ความมั่นคงของประเทศ” มักถูกหยิบยกขึ้นมาอวดอ้างบังหน้า “ความมั่นคงของกลุ่มอำนาจ”
“รัฐประหาร” คือการบ่อนทำลายความมั่นคงของระบอบประชาธิปไตยโดยแท้
แต่ไม่เคยต้องโทษถูกคุมขัง !
คนที่รับโทษติดคุกติดตะรางกลับเป็น “ผู้ต่อต้าน” อย่างสันติ !?!!