ก่อนนี้ผู้คนครึ่งประเทศอาจจะยังไม่สิ้นสงสัย คงเชื่อกันว่ารัฐประหารทั้ง 19 ก.ย. 2549 และ 22 พ.ค.2557 มีความมุ่งมั่นเลอเลิศจะนำพาประเทศก้าวหน้าเจริญรุ่งเรือง
ต่อเมื่อรัฐบาลภายหลังรัฐประหาร 2549 นำความล้มเหลวมาให้ในทุกด้านก็เกิดการก่อตัวใหม่ในกองทัพ พอได้เวลากระชับพื้นที่ก็เข้าโจมตีอีกครั้งในวันที่ 22 พ.ค.2557
คณะรัฐประหารกล่อมเกลามอมเมาด้วยวาทกรรม “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง”
คุกคามผู้คนด้วยลีลาอันเกรี้ยวกราดร้อนแรงของ “หัวหน้า คสช.”
ล่อหลอกปลอบประโลมด้วยบทเพลง …เราจะทำตามสัญญา…ขอเวลาไม่นาน…แล้วความสุขจะคืนกลับมา
และเพื่อไม่ให้ “เสียของ” เฉกเช่นรัฐประหารปี 2549 คราวนี้ผู้ก่อรัฐประหาร 22 พ.ค.2557 รัดกุมรอบคอบจับให้มั่นคั่นให้ตายด้วยการ “ดีไซน์รัฐธรรมนูญ” ที่ย้อนยุคสุดพิสดาร
ให้ “หัวหน้าคณะรัฐประหาร” แต่งตั้ง “ส.ว.250 คน”
แล้วให้ “ส.ว.” เหล่านั้นได้ยกมือเลือก “นายกรัฐมนตรี” หลังเลือกตั้ง
ยอกย้อนพลิกแพลงตลบตะแลงจนได้ผู้นำคนเดิมคนเดียวกับที่นำกำลังทหารก่อรัฐประหาร 22 พ.ค.2557
ที่เคยเคลือบแคลงก็สิ้นสงสัย
คำถามสำหรับอนาคตก็คือ ประเทศไทยจะเอาอย่างไรกับ “รัฐประหาร”
จะยอมรับ “หลักการ” ใครมีพวกมากกว่า มีอาวุธยุทโธปกรณ์เหนือกว่า หรือว่าจะแก้ไข “ยกเลิก” กฎหมายอาญา มาตรา 113 ที่ว่า
“ผู้ใดใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อ 1.ล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ 2.ล้มล้างอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร หรืออำนาจตุลาการ แห่งรัฐธรรมนูญหรือให้ใช้อำนาจดังกล่าวแล้วไม่ได้ หรือ 3.แบ่งแยกราชอาณาจักรหรือยึดอำนาจปกครองในส่วนหนึ่งส่วนใดแห่งราชอาณาจักร ผู้นั้นกระทำความผิดฐานเป็นกบฏ ต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต”
กฎหมายอาญาบัญญัติเช่นนั้นเพราะเห็นว่า การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองต้องมีความเป็นอารยะ ไม่ใช่การชิงทรัพย์ปล้นทรัพย์ การใช้กำลังอาวุธยึดอำนาจรัฐเป็นความป่าเถื่อน
แต่ที่ผ่านมา “กฎหมาย” กับ “ผู้บังคับใช้กฎหมาย” ยังต้องพ่ายให้กับ “ปืน” !
ใครมีพวกมีปืนเหนือกว่าและประสบชัยชนะก็เป็น “รัฏฐาธิปัตย์”
อีกฝ่ายหนึ่งถ้าไม่สู้ก็แล้วไป
แต่ถ้าสู้แล้วแพ้จะกลายเป็น “กบฏ” ถูกดำเนินคดีอาญา มาตรา 113
ใครว่า “บุคคลอยู่ภายใต้กฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน”
ทำไม ไม่ใช้กฎหมายอาญา มาตรา 113 กับ “ทุกใบหน้า” ที่ช่วงชิงอำนาจรัฐมาด้วยอาวุธปืน !?!!