บทเรียนมีมากมาย อยากจะให้เกิดพัฒนาการด้านไหนก็แค่ค้นหาบทเรียนด้านนั้นมาศึกษา แล้วทำใหม่ ไม่ทำเหมือนเดิม ก็จะเกิดสิ่งที่เรียกว่า “พัฒนาการ” ดังเช่น ในภาคอุตสาหกรรมที่หลายประเทศเปลี่ยนแปลงจากความล้าหลังไม่เป็นระบบ ด้วยการใช้วงจร P-D-C-A ของ “เดมมิ่ง” ทำให้เกิดพัฒนาการยกระดับอย่าง
ต่อเนื่อง
ในด้านการเมืองก็เหมือนกัน ถ้ามี “ความมุ่งมั่น” จะพัฒนา ระบบการเมือง วิธีดำเนินงานทางการเมือง และวัฒนธรรมทางการเมืองก็จะเปลี่ยนไป
บทเรียนทางการเมืองไทยตั้งแต่ก่อนปี พ.ศ.2500 คือ “อำนาจการปกครอง” ได้มาด้วยการใช้ทหารและกำลังอาวุธของกองทัพ กับ “การกำจัดฝ่ายตรงข้าม” ด้วยวิธีใส่ร้ายป้ายสีให้เป็นที่เกลียดชังของประชาชน
นักคิดนักเขียนนักศึกษาปัญญาชนนักการเมืองที่หัวก้าวหน้าตั้งแต่ยุคก่อน พ.ศ.2500 ถูกกวาดล้างปราบปราม
4 อดีตรัฐมนตรี ทองอินทร์ ภูริพัฒน์ ถวิล อุดล จำลอง ดาวเรือง และทองเปลว ชลภูมิ จึงถูกยิงทิ้ง
กระทั่งคนในเครื่องแบบ คนดีผู้มีคุณูปการอย่าง พ.ท.โผน อินทรทัต และ พ.ต.อ.บรรจงศักดิ์ ชีพเป็นสุข ก็ถูกสังหาร
แต่คนที่ปลุกระดมใส่ร้ายป้ายสี และฆาตกรมือเปื้อนเลือดไม่เคยถูกนำตัวขึ้นศาล !
ยุคหลัง พ.ศ.2500 เป็นต้นมา ไทยก็มี “บทเรียนทางการเมือง” มากมายหลายครั้งที่ยังคงใช้แนวคิดและวิธีการเดิมๆ
ปลุกระดม ใส่ร้ายป้ายสี สาดโคลน สร้างความเกลียดชังให้กับฝ่ายตรงกันข้ามแล้วใช้กำลังทหารและอาวุธของกองทัพก่อการ
ยึดอำนาจการปกครองเสร็จก็เขียน “กฎกู” จากนั้น “พวกกู” ก็บังคับใช้กฎนั้น!
ตั้งแต่ยุคก่อนปี 2500 กับหลังปี 2500 การเมืองไทยจึงไม่พัฒนาไปในทางที่เป็นประโยชน์เกื้อกูลต่อพัฒนาการประเทศในด้านอื่นๆ
กระทั่งวันนี้ แทบไม่น่าเชื่อว่า “ความล้าหลัง” ยังมีปรากฏให้เห็นเต็มตาเต็มใจ
นั่นคือ วันที่ ส.ส.กำลังอภิปรายงบประมาณประจำปี 2564 แทนที่ผู้นำรัฐบาลจะเปิดใจรับฟังแล้วนำไปปรับปรุงแก้ไขให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศชาติ นายกรัฐมนตรีกลับลุกขึ้นสาดโคลนใส่ผู้อภิปรายฝ่ายค้านว่า “ไม่ทันใจท่านหรอกครับ ไม่ทันใจที่ท่านจะเปลี่ยนสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ของเราได้ ไม่ทันใจหรอกครับ”
เป็นความคิดที่ส่งสัญญาณอันตรายตามแบบฉบับของการเมืองแบบเก่าๆ
แต่ทำไมการนำเอาสถาบันสำคัญของชาติมาเป็นเครื่องมือทำลายฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง ยังไม่ถูกดำเนินคดีสักที!?!!