ประวัติศาสตร์เหมือนป้ายบอกทางอนาคต เช่นเดียวกับ “กฎแห่งกรรม” ที่บอกว่าทุกการกระทำเป็น
อิทัปปัจจยตา สายใยแห่งกรรมร้อยเชื่อมพันกันตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันสู่อนาคต
ตามประวัติศาสตร์การเมือง คณะรัฐประหาร 8 พ.ย.2490 ส่งเทียบเชิญนายควง อภัยวงศ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีนั้นก็เพราะเกรงว่าประเทศมหาอำนาจจะไม่ยอมรับ
แค่ 5 เดือนถัดมา นายควงก็ถูกจี้ให้ลุกออกจากตำแหน่งให้ “ป. พิบูลสงคราม” นั่งยาวจนถึงปี พ.ศ.2500
รัฐประหาร 22 พ.ค.2557 สำเร็จแล้ว ประยุทธ์ จันทร์โอชา, ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ อนุพงษ์ เผ่าจินดา จะไปบริหารจัดการเศรษฐกิจ การเงินการคลัง การอุตสาหกรรม การค้าการพาณิชย์ได้อย่างไร
เมื่อได้ “สมคิด” เป็น “ม้าใช้” ไปนั่งรองนายกฯและคุม “คลัง” ก็ให้ “อุตตม สาวนายน” ไปคุมอุตสาหกรรม “สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” คุมพาณิชย์ “สุวิทย์ เมษิณทรีย์” คุมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และ “กอบศักดิ์
ภูตระกูล” ไปประจำสำนักนายกฯ
กลายเป็น “ทีมงานในฝัน” ที่ คสช.ใช้เล่นแร่แปรธาตุ
ไทม์ไลน์ของ “คนกลุ่มนี้” ก่อนเลือกตั้งคือ
2 มี.ค.61 นายชวน ชูจันทร์ กับ พ.อ.สุชาติ จันทรโชติกุล ไปจดจองพรรคการเมืองตั้งชื่อว่า “พลังประชารัฐ”
ที่ล้อมาจากนโยบายรัฐ
29 ก.ย.61 พรรคพลังประชารัฐ ได้นายอุตตม รัฐมนตรีอุตสาหกรรมในรัฐบาล คสช. เป็นหัวหน้า และได้นายสนธิรัตน์ รัฐมนตรีพาณิชย์ เป็นเลขาธิการพรรค
18 พ.ย.61 นักการเมืองจากหลายพรรคพาเหรดกันสมัครเป็นสมาชิกพลังประชารัฐล้นหลาม พร้อมกับจัดโต๊ะจีนระดมทุนได้ถึง 600 ล้านบาท
ใครจะเชื่อว่าปรากฏการณ์ทั้งหลายนั้นเกิดจาก “บารมี” ของ 4 กุมาร !
ม.ค.62 หรือก่อนเลือกตั้งแค่ 2 เดือน “รัฐมนตรี 4 คน” ในรัฐบาลประยุทธ์เพิ่งจะรู้สึกหน้าบาง ประกาศลาออกจากตำแหน่งเพื่อทำงานการเมืองเต็มตัว
ผลเลือกตั้งทั่วไป 24 มี.ค.62 กับรัฐธรรมนูญที่ “ดีไซน์มาเพื่อพวกเรา” ทำให้ประเทศไทยได้ “ประยุทธ์-ประวิตร-อนุพงษ์” กลับมาครบ
แถมพกด้วย “สมคิด” และ “4 กุมาร”
แต่ มิ.ย.62 เริ่มขับไล่ “สนธิรัตน์” จบลงด้วย 18 กรรมการบริหารพรรคลาออก ทำให้ “อุตตม-สนธิรัตน์” ต้องพ้นจากหัวหน้าพรรค และเลขาธิการพรรค
ต้องเข้าใจว่าภายใต้ระบอบ 3 ป. “พลังประชารัฐ” เกิดขึ้นอย่างมี “เป้าหมาย”
ไม่มีอะไรจะต้องขัดเขินกันอีกต่อไป “ประวิตร” ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรค
สมคิดกับ 4 กุมาร ต้องออกจากกระดาน !?!!
