สายเลือด ‘กาแล็คซี่’ เวทีชีวิต I อมร อภิธนาคุณ ประธานสมาพันธ์รวมใจชาวจีนทั่วโลกเป็นหนึ่งเดียว

“ที่ไหนมีอากาศ ที่นั่นมีคนจีน”

เป็นคำกล่าวเรียบง่าย ทว่าเป็นความจริงอันทรงพลัง จากปากคำของ อมร อภิธนาคุณ ประธานสมาพันธ์รวมใจชาวจีนทั่วโลกเป็นหนึ่งเดียว

ไม่เพียงมีจุดมุ่งหมายในด้านความรู้รักสามัคคีของทั้งชาวจีนแผ่นดินใหญ่และชาวจีนโพ้นทะเลที่ตั้งรกรากอยู่ทั่วทุกทวีป ไม่ว่าจะแสนไกลเพียงใด หากแต่ยังเป็นสมาพันธ์ที่สร้างคุณูปการมากมายผ่านการช่วยเหลือสังคมในด้านต่างๆ แน่นอนว่ารวมถึงในสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

ในวัย 81 ปี ยังปฏิบัติหน้าที่ “ท่านประธาน” อย่างเข้มแข็ง ออกงานการกุศลอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย ด้วย “สายเลือดจีน” เข้มข้นไม่เคยลืมซึ่งรากเหง้า

Advertisement

เช่นเดียวกับห้วงเวลาที่ผ่านมาของชีวิตที่มากมายด้วยสีสัน ราวกับภาพยนตร์ดีๆ สักเรื่องที่มีจุดพลิกผันอันนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงตลอดกาลของเส้นทางธุรกิจ “กาแล็คซี่” คืออาณาจักรแห่งความบันเทิงที่กลายเป็นหนึ่งในตำนานอมตะ โดยถูกเรียกติดปากว่า “โนแฮนด์” เป็นที่นิยมอย่างสูง “บิ๊กเนม” มากมายแวะเวียนเข้าใช้บริการไม่ขาดสาย

เป็นอาณาจักรยิ่งใหญ่ที่ชายอาวุโสท่านนี้สร้างขึ้นกับมือด้วยเงินทุนเริ่มต้นเพียง 10,000 บาท กระทั่งมีมูลค่ามหาศาล สัมผัสความรุ่งเรืองถึงขีดสุด กระทั่งแปรเปลี่ยนตามกาลเวลา

ในบรรยากาศสบายๆ ของ “กาแล็คซี่ คอฟฟี่ บาร์” หน้าอาคาร “กาแล็คซี่เพลส” ย่านพระราม 3

อมร อภิธนาคุณ ย้อนเล่าเรื่องราวต่างๆ ในความทรงจำอันแจ่มชัด ทั้งในบทบาทประธานสมาพันธ์รวมใจชาวจีนทั่วโลกเป็นหนึ่งเดียวและในฐานะนักธุรกิจไทยเลือดจีนเข้มข้นที่เคี่ยวกรำประสบการณ์กว่า 8 ทศวรรษของชีวิต บนเวทีหลากหลายในต่างห้วงเวลา

– ออกงานช่วยเหลือสังคมบ่อยครั้ง โดยกล่าวถึงการ “ทดแทนคุณแผ่นดิน” ซึ่งมีที่มาลึกซึ้งจากเหตุการณ์ในชีวิต?
เราอยู่ในสังคมจีน และคนไทยเชื้อสายจีน พ่อแม่มาจากซัวเถา เพราะแห้งแล้ง อดอยาก ตอน 10 ขวบ ป่วยเป็นวัณโรคในกระดูก กระดูกพรุนไปหมด นอนอยู่โรงพยาบาลศิริราชประมาณ 10 ปี อายุ 20 ถึงได้ออก จากนั้นไปไต้หวันแล้วกลับมาเมืองไทย

ตอนอยู่ที่ศิริราช แม่ไปเยี่ยมทุกวัน ข้ามเรือจากท่าพระจันทร์ ท่านบ่นอยู่เรื่อยว่า ลำบาก อยากตาย ผมก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะเห็นคนตายแทบทุกวัน วันหนึ่งท่านไม่มาจริงๆ ผมก็หลับไม่รู้เรื่อง จนท่านมาปลุก เรียกชื่อผม บอกว่า แม่มาแล้ว ผมตื่นมาเห็นหน้าแม่ก็บอกว่า นึกว่าโดดแม่น้ำตายแล้ว ท่านบอกว่าที่มาช้าเพราะในหลวงรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ เสด็จ ทรงสง่างาม และเมตตามาก โบกพระหัตถ์ให้ประชาชน แม่บอกว่า เราลำบากมาจากเมืองจีน มาอยู่ในแผ่นดินไทย ถ้ามีโอกาส ต้องตอบแทนคุณแผ่นดินนี้ เมื่อมีโอกาสที่ทำได้ ผมก็ทำมาตลอด รวมถึงการจัดงานที่เยาวราชตั้งแต่แรกเริ่ม ทำมา 20 กว่าปี โดยสำนึกบุญคุณแผ่นดินตามที่แม่สั่งไว้

– กว่าชีวิตจะมีพร้อมทุกอย่าง ผ่านอุปสรรคเหมือนหนังจีนที่เข้มข้นมาก?
ผมเกิดแถวโรงหนังปรินซ์ บางรัก แล้วไปโตที่เยาวราช จนมาก บางวันไปนอนอยู่ร้านขายรองเท้าข้างห้างแมวดำ วันหนึ่งลืมตื่น เขาเปิดประตูมาเจอ ก็อาบน้ำให้เลย คือโดนน้ำสาด เราตัวเล็กกว่าก็ตบตี โดนเตะเอาดื้อๆ โดนเตะไปกองกับพื้นเลย บางทีเคาะหัวให้เจ็บ อะไรก็ไม่รู้ สมัยหลังสงครามโลกก็อย่างนี้

ถามว่าทำไมอยู่ดีๆ ผมขึ้นมาได้ ตอนเป็นเด็กให้เช่าหนังสือ มีคนแก่คนหนึ่ง ถือที่ฉาบปูน มาขอดูหนังสือ บอกว่า อาตี๋ อั๊วไม่มีตังค์ มาขอดูได้ไหม ผมบอก ได้ ไม่เป็นไร ก็ให้เขาดู ปรากฏว่าวันหนึ่งเขารวยขึ้นมา เป็นคนรับเหมาตลาดพาหุรัด แล้วมาเจอ ผมอีกครั้ง ให้เงินมา 1 หมื่นบาท เพื่อสร้างตัวจนมาถึงวันนี้

สมัยก่อนไม่ใช่อยู่ดีๆ จะค้าอะไร สร้างอะไรก็ได้ แต่ขึ้นอยู่กับว่า อยู่มุมไหน เจอกับใคร อยู่ที่จังหวะ โอกาส เหมือนผมที่ไปเมตตาคนแก่คนหนึ่ง

ผมแต่งงานตอนอายุ 29 พอ 31 เปิดกาแล็คซี่ โดยมีอยู่หมื่นนึงที่ได้มา ก็เอาไปวางมัดจำ ตอนจะสร้างกิจการไม่รู้คนมาจากไหน เอาของมาให้เยอะไปหมด ไม้ ไฟฟ้า สายไฟ เอามาให้หมด แล้วสร้างจนเสร็จ รายได้หนึ่งวันแสนกว่าบาทในยุคนั้น คนมาเที่ยวเรียก โนแฮนด์ เพราะไม่ต้องใช้มือ แต่ใช้สาวๆ ป้อน จากนั้นก็ดัง ใครๆ ก็ต้องมา

– แล้วกับฉายา “ราชาตู้ม้า”?
ผมไม่เคยทำสิ่งที่ผิดกฎหมาย หวย ผมยังแทงของรัฐบาลเลย ไม่แทงหวยใต้ดิน มีคนบอกผมเป็นราชาตู้ม้า ไม่ใช่ (หัวเราะ) มันเป็นตู้เกมที่สามารถเล่นคลายเครียด ไม่ใช่การพนัน ถ้าจะเล่นการพนัน เล่นได้ไหม ได้ ทายอะไรก็ได้ เช่น เดี๋ยวผู้หญิงเดินมา หรือผู้ชายเดินมา แค่นี้ก็พนันได้แล้ว ถ้าคนเราจะเล่นพนัน อะไรก็เล่นได้ ไม่ใช่ต้องเป็นตู้เกม ตู้นั้นตู้นี้ มีคนมารื้อตั้ง 7 ครั้ง ตอนนั้นกฎหมายอะไรไม่รู้ เราสู้จนชนะถึงฎีกา

– ในฐานะนักธุรกิจอาวุโส ผ่านมาหลายรัฐบาล มองการแก้ปัญหาด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดนี้อย่างไร?
รัฐบาลทุกวันนี้เขาก็พยายามแล้ว ผมเห็นด้วยกับนายกรัฐมนตรีที่ช่วยชาวบ้าน เราเห็นเขาช่วยประชาชนก็ดีใจ แต่ส่วนลึกๆ ไม่กล้าก้าวก่าย ถามว่าตอนนี้โควิดตายมากกว่า หรือคนอดอยาก ตายมากกว่า คำตอบคือเวลานี้คนอดอยากมากกว่า ลำบากกันมาก อสังหาริมทรัพย์ ตอนนี้ตกเยอะมาก แต่ซื้อไว้เถอะ ไม่เปื่อยไม่เน่า คนมันเกิด แต่ที่ดินไม่เกิด ซื้อไว้ ต่อไปจะแพง การเก็บเงินสดไว้ เฉยๆ ไม่เอาออกมาใช้จ่าย ขึ้นอยู่กับว่าเกิดประโยชน์ไหม อาจเกิดประโยชน์ด้านความปลอดภัย แต่ไม่ช่วยเศรษฐกิจชาติ ให้ดีขึ้น ผมยังต้องเที่ยว ต้องช้อปเพื่อชาติเลย นี่กำลังจะไปกระบี่ทั้งครอบครัว (ยิ้ม)

– มาถึงเรื่องของสมาพันธ์รวมใจชาวจีนทั่วโลกเป็นหนึ่งเดียว มีที่มาอย่างไร?
เมื่อ 20 กว่าปีก่อนที่อินโดนีเซีย ฆ่าคนจีนเยอะมาก ผมเลยไปที่สถานทูตอินโดนีเซีย เพื่อประท้วงว่าทำไมต้องฆ่าคนจีน เราเตรียมตัวไว้ว่าคนคงมาประมาณ 2,000 คน ปรากฏว่าเมื่อประกาศลงหนังสือพิมพ์ออกไป คนมาเป็นหมื่น ทั้งถนนเพชรบุรีตัดใหม่ มากันเต็มไปหมด ไม่น่าเชื่อว่าคนจีนมารวมใจเป็นหนึ่งเดียวจริงๆ บางคนถือไม้เท้ามาจากต่างจังหวัด ทั้งหนุ่มสาว ทั้งคนแก่

– จุดประสงค์หลักของสมาพันธ์ คืออะไร?
เน้นด้านความสามัคคี ทุกคนพยายามรวมตัวกันไม่ให้ฆ่ากัน คนจีนไม่ฆ่าคนจีน คือคำพูดของผมตั้งแต่ 20 กว่าปีที่แล้ว ปัจจุบัน สีจิ้นผิงพูดว่า คนจีนไม่ตีคนจีน ฝรั่งยุอยู่เรื่อยที่จะให้แยกไต้หวันออกเป็นประเทศ แต่สหประชาชาติยอมรับว่า จีนมีจีนเดียว เรามีเนื้อเพลงที่ว่า ใครอยากจะแยกจีนออกเป็น 2 ถ้าเอาดาบอันหนึ่งไปฟันแม่น้ำ ฟันทะเล แล้วน้ำแยกออกได้ เมื่อนั้นก็จะแยกจีนออกได้ เป็นเพลงที่ดังมาก

– กิจกรรมสำคัญๆ มีอะไรบ้าง เบื้องต้นมีการประชุมยิ่งใหญ่มาก?
ส่วนใหญ่ประชุมที่ปักกิ่ง ประธานใหญ่อยู่ที่ปักกิ่ง ส่วนภาคพื้นเอเชียซึ่งผมเป็นประธานจัดประชุมครั้งแรกที่ประเทศไทย ในโรงแรมมณเฑียร กรุงเทพฯ เพื่อรวมใจชาวจีนทั่วโลกเป็นหนึ่งเดียว พองานเสร็จ ดังไปทั่วโลก ตอนนั้นเราออกค่าโรงแรมให้คนที่เดินทางมาทั้งหมด ไทยเรามีน้ำใจ เป็นประเพณี แต่กลุ่มรวมใจชาวจีนประเทศอื่นตำหนิว่าต้องเก็บเงินนะ คุณมีสตางค์ แต่เมืองเขาไม่มีสตางค์จะทำอย่างไร หากทำอย่างนี้คนอื่นจัดงานไม่ได้ เพราะจัดแล้ว ไม่จ่ายให้เหมือนที่ไทยจัด เดี๋ยวเขาว่าเอา

– ทราบว่าทุ่มเทกับงานสมาพันธ์มาก?
คนจีนบอกว่า ออกทั้งแรง และเงิน ผมก็ต้องยกมือขึ้นไปพูดบอกว่า นอกจากออกทั้งแรง ทั้งเงิน ยังเอาชีวิตมาสู้ เพราะต้องดูแล หลายอย่าง อย่างตอนฝ่าหลุนกงมาตั้งอยู่หน้าสถานทูต ผมออกมาต่อต้าน วันหนึ่งมีคนโทรศัพท์มาหา บอกว่าเป็นนักข่าวจากอเมริกาจะขอสัมภาษณ์ ผมก็บอกได้ๆ วันจันทร์ เที่ยงตรงนะ พอเข้ามาถึงประตู เอ้ย! นี่มันไม่ใช่นักข่าว แต่เป็นฝ่าหลุนกง

– คิดว่าอะไรคือจุดร่วมสำคัญของความเป็นหนึ่งเดียวของจีน?
ความรัก เพราะคนจีนรักกัน ถ้าไม่รัก เราจะชนะสงครามโลกได้อย่างไร ญี่ปุ่นฆ่าหมด ข่มขืนเยอะมาก เซินเจิ้น กวางโจว ศพเยอะมาก

– ในช่วงโควิด สมาพันธ์มีบทบาทในการช่วยเหลือทั้งคนจีนและคนไทย อย่างไรบ้าง?
ตอนโควิดระบาดที่เมืองจีน หน้ากากอนามัยไม่เพียงพอ สมาพันธ์ของเราส่งจากเมืองไทยไปเยอะมาก มหาศาลเลย ส่วนใหญ่สมาชิกช่วยกันจ่าย หลานชายผมก็ช่วย ทุกคนช่วย หลังๆ พอโควิดมาถึงไทย คนตกงานเยอะ เราก็ทำอาหารแจก ซื้อข้าวแจก แจกข้าวสารให้คนที่ลำบาก เพื่อบรรเทาทุกข์

ไม่ใช่ว่าเรามีกินแล้วมีความสุขฝ่ายเดียว เราจะอยู่ได้อย่างไร ก็ต้องประคับประคองช่วยเหลือกันไป

 

ย้อนความทรงจำยุค ‘แก๊งสเตอร์เยาวราช’
ในวันที่ ‘ผมมีทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว’

“มีหลาน 14 คน จากลูก 7 คน ไม่เยอะ (หัวเราะ)”

อมร อภิธนาคุณ เจ้าของ “กาแล็คซี่” อาณาจักรความบันเทิงในตำนานเล่าอย่างอารมณ์ดี โดยมีหลานๆ ล้อมหน้าล้อมหลังอย่างอบอุ่น

“ตอนที่ผมแต่งงาน แม่ดีใจมาก เลยจัดงานครบรอบแต่งงาน และฉลองครบรอบวันเปิดตึกซึ่งตรงกันคือวันที่ 21 เมษา ผมคิดถึงแม่ มีวันนี้ก็เพราะแม่ ผมมีทุกสิ่งทุกอย่าง ที่สำคัญ คือครอบครัวดี หลานสาวคนโตเรียนหมอจะจบแล้ว อีกคนเป็นดารานักร้อง คือ จูเน่ บีเอ็นเค เรียนคณะสถาปัตย์
จุฬาฯ”

แม้เล่าถึงบรรยากาศฉลองสมรสที่มีการถ่ายคลิปอบอุ่นพร้อมเหล่าพนักงานในเครือกาแล็คซี่ แต่ปล่อยมุขโดยบอกว่า “ผมยังโสด” ก่อนตามมาด้วยเสียงหัวเราะครื้นเครง ด้วยบุคลิกเป็นกันเอง ไม่ถือตัว แม้เมื่อครั้งกาแล็คซี่ยังรุ่งโรจน์ ก็สวมใส่เสื้อยืดมาเปิดประตูรถให้ลูกค้า

“ผมใส่เสื้อยืด เปิดประตูรถให้ เขาไม่รู้ว่าเป็นเจ้าของ นึกว่าเป็นพนักงาน”

ด้วยความกว้างขวาง รู้จักคนเยอะ เป็นที่นับถือของคนหลากวงการ จึงเป็นที่ทราบกันว่า เมื่อเกิดปัญหาวิวาทะครั้งใหญ่ในหลายครั้งคราว บ้างก็ถึงขนาดฟ้องร้องใหญ่โต เจ้าของอาณาจักรกาแล็คซี่ท่านนี้ในยุคนั้น คือ “คนไกล่เกลี่ย” แห่งวงการ

ย้อนกลับหลังไปไกลกว่านั้น เมื่อครั้งขลุกอยู่ในย่านไชน่าทาวน์ เยาวราช

หนุ่มไทยเชื้อสายจีนตระกูลเฮ้ง ตามสำเนียงแต่จิ๋ว นาม หวัง จื้อหมิน ในวันนั้น หรือ อมร อดีตนายกสมาคมแซ่เฮ้ง ประธาน 55 ตระกูลแซ่ และประธานสมาพันธ์รวมใจชาวจีนทั่วโลกเป็นหนึ่งเดียว ในวันนี้ เล่าว่า บรรยากาศของเยาวราชในยุคนั้นต่างกันเยอะกับยุคนี้

“เมื่อก่อนจะมีคนลากรถเจ๊กเยอะ ตีกับสามล้อ ยุ่งเลย มีจลาจล ยุคนั้นยังมีแก๊ง มีมาเฟียแบ่งเป็นกลุ่ม มีการต้มตุ๋น ลักทรัพย์ ฉกของตามโรงงิ้ว ราวๆ 7-8 แก๊ง แต่ละแก๊งเขาแบ่งพื้นที่กัน” เล่าพลาง ทำท่าฉกปากกาโดยใช้ม้วนกระดาษเพื่อสาธิตอย่างชำนาญ ก่อนอธิบายว่า

“สมัยก่อนใครเหน็บปากกาปาร์เกอร์ ทองคำ เท่ากับมีรถเบนซ์คันหนึ่งเลย เท่มาก ผู้หญิงเกาะติดเต็มเลย คนก็ชอบไปแอ๊ก ว่ามีปากกา โดนฉกจึ๊กเดียว ไปแล้ว ปากกาหมึกซึมยุคนั้นแพงมาก นอกจากวิธีนี้ ยังใช้การใส่เสื้อลูกไม้ ให้ปากกาติดเสื้อลูกไม้ออกมา

ถ้าคนเยาวราชชิงทรัพย์ ชิงสร้อย จะจับไม่ได้ เพราะวิ่งแล้วรู้จักออกตามตรอกซอกซอยต่างๆ แต่ถ้าคนต่างถิ่นมาชิงทรัพย์ โดนจับ เพราะไม่รู้ทาง”

เป็นอีกแง่มุมชีวิตในความทรงจำที่เมื่อย้อนมองกลับหลัง ช่างเปี่ยมสีสัน ชวนตื่นเต้นไปกับทุกจังหวะแห่งการก้าวเดินมาจนถึงวันนี้

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image