เป็น “เรื่องปกติ” ที่คดี “ชายฉกรรจ์เสื้อเหลือง” รุมทำร้ายผู้ชุมนุมหลายครั้งหลายพื้นที่จะเป็นไปอย่างอืดอาดล่าช้า
ตำรวจทำท่าเหมือน “งมเข็มในมหาสมุทร” ทั้งที่มีคลิปเป็นประจักษ์หลักฐานแพร่สะพัดไปทั่วโลก
เป็นเรื่อง “ผิดปกติ” เอามากๆ ที่ พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ออกมาแถลงได้อย่างรวดเร็ว ว่าการ์ดฝ่ายผู้ชุมนุมที่ถูกยิงเมื่อคืนวันที่ 25 พ.ย.นั้น ทะเลาะกันเอง แล้วยิงกัน ไม่ได้มีกลุ่มอื่นแฝงตัวมา
เมื่อ “ปิยะ” รู้เร็วรวบรัดเสนอหน้าออกมาฟันธง เพจ “ฟันเฟืองธนบุรี” ก็โพสต์แถลงสวนว่า หลังจากประกาศยุติการชุมนุมขณะที่ทุกคนกำลังทยอยเดินทางกลับ มีเสียงคล้ายวัตถุระเบิดและมีกลุ่มบุคคลใช้อาวุธปืนยิงใส่กลุ่มการ์ด
ผู้ก่อเหตุแฝงตัวมาในการ์ดเพื่อสร้างสถานการณ์
แต่การ์ดฝ่ายประชาธิปไตยก็ประกาศยืนหยัดสู้ด้วยมือเปล่า “เราจะสู้กับความรุนแรงด้วยสันติวิธี”
ย้อนนึกแล้วแปลกใจจริงๆ
ก่อนและหลัง “6 ตุลาฯ 2519” การเอ่ยถึงคอมมิวนิสต์หรือชื่อผู้นำทางความคิดและการปฏิวัติสังคมนิยมล้วนเป็น “ภัย”
ที่พูดได้ ประกาศตัวได้อย่างเปิดเผย คือ “ประชาธิปไตย” นิยมชมชอบสิทธิเสรีภาพ ยึดมั่นในแนวทางสันติวิธี ถึงแม้จะออกแนวสังคมนิยมอยู่บ้างก็ยัง “ปลอดภัย”
แต่ในวันนี้ ไทย “ถอยหลังกลับไป”
ไกลกว่า “ครึ่งศตวรรษ” !
การประกาศ “ประชาธิปไตย” วันนี้กลายเป็นเรื่องต้องอ้อมๆ แอ้มๆ
ชีวิตของคุณ ! ทั้งในด้านการทำมาหากินปกติ ไปจนถึงการทำมาหากินอลังการกับโปรเจ็กต์ใหญ่โครงการยักษ์ทั้งหลายจะราบรื่น ถ้าเป็นฝ่ายที่สังกัดมูลนาย “3 ป.”
ใครจะมีคดีพัวพันนัวเนียทั้งอาญาทั้งฉ้อฉล หนักจะเป็นเบา บางๆ จะจางหาย !
การชื่นชมหลงรักในสิทธิเสรีภาพ การมีความเห็นแตกต่างหลากหลายอันเป็น “ปกติ” ในสังคมประชาธิปไตยกลายเป็นสิ่งนำมาซึ่ง “ความไม่สงบ” เป็นความวุ่นวาย อาจถูกดำเนินคดีอาญา หลายข้อหาหลายมาตรา
การลุกขึ้นมาชุมนุมทางการเมืองของเด็กและเยาวชนที่ลุกลามต่อไปยังพ่อแม่พี่น้องลุงป้าน้าอาปู่ย่าตายายตลอดเวลา 4 เดือนที่ผ่านมา ถึงแม้จะตั้งมั่นใน “สันติวิธี” แต่ในยุคปัจจุบันเป็น “สิ่งต้องห้าม”
“ประชาธิปไตย” เป็นภัยสั่นคลอนบัลลังก์คณะ 3 ป.และเครือข่าย
จึงต้องทำให้การชุมนุมทางการเมืองของฝ่ายประชาธิปไตยในวันนี้มี “รอยเปื้อน” !?!!