สถานการณ์ในเมียนมากำลังคุโชนด้วยไฟสงครามกลางเมือง
ประชาชนประท้วงไม่ยอมรับการรัฐประหารของมิน อ่อง ลาย เรียกร้องให้การเมืองการปกครองของเมียนมาคืนกลับสู่เสรีประชาธิปไตย
ผู้ประท้วงทุกเมืองในเมียนมาชุมนุมเรียกร้องด้วยสันติ ไม่มีการยั่วยุ ไม่มีการทำลายข้าวของที่เป็นสมบัติสาธารณะ ไม่มีการบุกรุกคุกคามบังคับให้ปิดสถานราชการ ไม่มีการปิดล้อมสนามบิน ไม่ปิดเส้นทางคมนาคม แค่รวมตัวกันแล้วเดินส่งเสียงตะโกนไปตามท้องถนนพร้อมกับชู 3 นิ้ว แต่คณะรัฐประหารเลือกที่จะปราบปรามผู้ชุมนุมด้วยความรุนแรง
ภาพที่ปรากฏต่อสายตาชาวโลกจึงชวนอเนจอนาถ
พอจะเข้าใจได้ว่าการเป็น “กลไกของรัฐ” ในประเทศที่การเมืองการปกครองยังล้าหลังนั้น “ทหาร” กับ “ตำรวจ” ย่อมจะต้องถูก “ผู้บังคับบัญชา” ใช้เป็น “เครื่องมือ” เพื่อค้ำยันเสถียรภาพให้กับคณะบุคคลที่มีอำนาจ
แต่ผู้ชุมนุมทางการเมืองไม่ใช่ “อาชญากร” !
ชาวเมียนมาชุมนุมประท้วงอย่างสันติ มีเพียงสองมือเปล่า “ทหาร” กับ “ตำรวจ” เมียนมากลับสาดกระสุนใส่ประชาชนตายไปแล้วกว่า 200 คน
นายสั่ง “ยิงไปจนกว่าพวกมันจะตาย” !
ตำรวจคนหนึ่งทนรับคำสั่งอำมหิตนั้นไม่ไหว ถึงกับลาออกจากราชการแล้วเดินเท้าหลบหนีออกจากเมียนมาข้ามชายแดนไปอาศัยอยู่ในอินเดีย
ส่วนที่เมียนมา ทหารกับตำรวจส่วนมากยังคง “รับคำสั่ง” เดินหน้าลั่นกระสุน “ฆ่า” ผู้ชุมนุมต่อไป !
สมมุติว่า “ฝ่ายฆ่า” ได้รับชัยชนะและคณะรัฐประหารประกาศ “ปิดประเทศ”
คำถามสำคัญมีอยู่ว่า คนที่เป็นทหารและตำรวจ มีความภาคภูมิใจกับชัยชนะครั้งนี้หรือไม่
การใช้อาวุธสงครามกับ “กระสุนจริง” ยิงประชาชนที่นั่งอยู่กับพื้น หรือยิงคนมือเปล่าที่ยืนชู 3 นิ้วนั้น
ไม่ใช่ภารกิจรบ
การฆ่าประชาชนมือเปล่าไม่ต้องใช้ “แม่ทัพ” ที่มีความรู้ความสามารถกล้าหาญเด็ดเดี่ยวในการบัญชาทัพ
ไม่ต้องใช้แม่ทัพที่ครองใจไพร่พล
“เส้นแบ่ง” ระหว่าง “ชายชาติทหาร” กับ “นักฆ่ารับจ้างในเครื่องแบบ” อยู่ที่ “รบกับใคร” และ “รบเพื่อใคร”
“ทหาร” ใช้อาวุธสงคราม “ฆ่า” ผู้ชุมนุมหรือคนเห็นต่างทางการเมือง ไม่ใช่ “การรบ”
ส่วน “ตำรวจ” ที่ใช้กระสุนจริงยิงประชาชนก็เป็นการก่อ “อาชญากรรม”
“ทหาร” มีทำหน้าที่ปกป้องผืนแผ่นดินให้พ้นภัยจากอริราชศัตรู
“ตำรวจ” พิทักษ์ปกป้องสุจริตชนให้ปลอดภัย !?!!