เมื่อวานนี้มีข่าวว่าผู้ติดเชื้อโควิดสะสมของไทยใกล้จะแซงหน้า “จีน” ที่เคยเป็น “ต้นทาง” ของโควิด-19 เมื่อปี 2019
ยอดผู้ติดเชื้อสะสมไทยวันนี้อยู่ที่อันดับ 97 ของโลก ส่วนจีนอันดับ 99 ของโลก
ตัวเลขนี้ไม่ใช่จู่ๆ ไทยจะได้มา
แต่เกิดจากการคิด การวางแผนและปฏิบัติการรับมือวิกฤตผิดพลาดถึงขั้นย่ำแย่จึงจะได้ “อันดับโลก” นั้นมา !
ตั้งแต่ต้นปี “เสียงที่ไม่อยากฟัง” ได้ร้องทักท้วงครั้งแล้วครั้งเล่าว่า ในภาวะที่ประเทศถูกคุกคามจากโควิด-19 นี้ งบซื้อรถถัง เรือดำน้ำ เรือบิน เรือรบ ยุทธภัณฑ์สงครามนั้น “เพลามือ” ลงก่อนได้หรือไม่
อย่างน้อยที่สุดไทยจะต้องมี “วัคซีน” ให้หมอ พยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์เพียงพอก่อนที่จะส่งลงสนามไปเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายกับไวรัส
แต่มีลิ่วล้อออกมาสอพลอนายว่า อย่าไปกลัวหรือกังวล มันคือโรคหวัดโรคหนึ่ง “ใช้ชีวิตให้ปกติ รับรอง
ไม่ติดเชื้อแน่นอน”
อวดดี อวดโอ่ไปถึงขั้นว่าไทยมีผู้ติดเชื้อน้อย ตายน้อย ไทยดีไทยเยี่ยมที่สุด และไทยมี “วัคซีน” อยู่ในมือมากกว่าใครๆ ในภูมิภาค
ถึงกับกระอักเลือดเมื่อเจอโควิดรอบ 2 แล้วตามด้วยรอบ 3 ที่มีผู้ติดเชื้อวันละ 1-2 พันคน กับเสียชีวิตวันละ 20-30 คน
วิกฤตในวันนี้เกิดจากแนวความคิดและแผนบริหารจัดการวิกฤตที่ล่าช้าและล้าหลัง
แม้แต่ “หมอ” ยังปกป้องตัวเองไม่ได้ ครอบครัวลูกเมียตกอยู่ภาวะเสี่ยงอันตราย หมอหลายคนกลายเป็นผู้ป่วยเข้าไอซียู บุคลากรทางการแพทย์ติดเชื้อร่วงกันระนาว
เมื่อขวัญกำลังใจ “นักรบเสื้อกาวน์” ตกต่ำ ชาวบ้านทั่วไปก็ยิ่ง “สิ้นหวัง”
วัคซีนไม่มี วัคซีนยังไม่มาเพราะว่าเดิมทีเดียวรัฐบาลนี้วางแผนจะใช้วัคซีนยี่ห้อเดียว จากโรงงานผลิตแห่งเดียว ฉีดให้คนไทยตั้งแต่กลางปี 2564 ไปจนถึงสิ้นปี 2566
ค้นหา “เหตุผล” หรือ “แรงจูงใจ” ไม่ได้จริงๆ ว่า ทำไมรัฐบาลนี้ถึงต้อง “แอสตร้าเซนเนก้า” กับ “ซิโนแวค”
เท่านั้น ทั้งที่โลกก็เปิดกว้างให้ศึกษา เปรียบเทียบ และคัดเลือกเพื่อประโยชน์สูงสุดกับประเทศชาติและประชาชน
ประเทศไทยกับประชาชนไทยสูญเสียอะไร ถ้ามี “วัคซีนทางเลือก” มากกว่า 2
ข่าวว่าผู้ติดเชื้อโควิดไทยใกล้แซงหน้าจีน เป็นความจริงที่หดหู่และโหดร้าย
วิกฤตรอบใหม่นี้เกิดจาก “ฝีมือรัฐบาล” ล้วนๆ ไม่ใช่ประชาชน “การ์ดตก” !?!!