The One เมื่อวิทยาศาสตร์รับบทเป็นพระเจ้าของมนุษย์

The One เมื่อวิทยาศาสตร์รับบทเป็นพระเจ้าของมนุษย์

ในโลกที่อัลกอริทึมมีบทบาทมากขึ้นทุกขณะ โดยเฉพาะที่เราคุ้นเคยว่าอัลกอริทึมถูกนำมาใช้ในแง่มุมทางการตลาด หรือโฆษณาประชาสัมพันธ์ที่เราคุ้นเคยกันในโซเชียลมีเดียแพลตฟอร์มต่างๆ ที่สร้างปฏิสัมพันธ์ของผู้ใช้ร่วมกัน และถ้าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น…หากสามารถนำข้อมูลทางชีวภาพของมนุษย์ทั้งโลกอย่าง “ดีเอ็นเอ” มาจับคู่หา “คู่ชีวิต” ในแบบ “Soulmate” หรือคู่แท้ของชีวิตที่เหมาะเจาะลงตัวได้ โลกจะน่าอยู่ขึ้นหรือไม่

เทคโนโลยีรูปแบบนี้จะทำให้ชีวิตผู้คนน่าอยู่และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นหรือไม่ เมื่อเราไม่ต้องเผชิญปัญหาความรักความสัมพันธ์ที่ล้มเหลว หรือความรักที่เป็นพิษบั่นทอนกันและกัน เพราะเทคโนโลยีที่แม่นยำทำให้เราต่างเจอคู่แท้กันและกันในที่สุด ด้วยวิธีแบบมีทางลัดคือ การใช้วิทยาศาสตร์และอัลกอริทึมเข้ามาช่วยจับคู่ในระดับดีเอ็นเอที่แม่นยำให้

ข้างต้นคือพล็อตในซีรีส์เรื่อง “The One” ซีรีส์ 8 ตอน แนวทริลเลอร์ดราม่าผสมเรื่องราวทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีของความพยายามระดับทะเยอทะยานของนักวิทยาศาสตร์เพื่อนซี้สองคน “รีเบคก้า” และ “เจมส์” ที่คิดค้นอัลกอริทึมตรวจจับคู่ดีเอ็นเอของมนุษย์ในโลกเพื่อจะจับคู่ความสัมพันธ์ที่ลงตัวให้มนุษย์ทุกคน ด้วยจุดขายที่ว่า ทุกคนต่างพบคนที่เป็นพรหมลิขิตของตัวเองได้แบบไม่ต้องเสียเวลาตามหาทั้งชีวิต หรือใช้ชีวิตกับคนที่ไม่ใช่ ซึ่งวิทยาศาสตร์ที่พวกเขาคิดค้นสำเร็จผ่านการใช้อัลกอริทึมตรวจจับดีเอ็นเอเพื่อแมตช์คู่ให้ผู้คนนั้นได้ถูกนำไปพัฒนาเป็นธุรกิจสตาร์ตอัพ “The One” ที่เติบโตจนเป็นธุรกิจดาวรุ่งของโลก แต่เบื้องหลังของเทคโนโลยีนี้ก็ซ่อนความลับอันน่ากลัวไว้มากมาย

Advertisement

จากธุรกิจสตาร์ตอัพกลายเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้มหาศาลส่งผลให้ทั้ง รีเบคก้าและเจมส์กลายมาเป็นหุ้นส่วนนักธุรกิจระดับมหาเศรษฐี แต่ความสัมพันธ์ฉันเพื่อนของทั้งคู่ก็แตกสะบั้นลง “เจมส์” ลดระดับตัวเองมาเป็นเพียงผู้ถือหุ้นและบอร์ดบริหารแต่ในนาม โดยละทิ้งบริษัทจับคู่ดาวรุ่งไปอย่างสิ้นเชิง ขณะที่ “รีเบคก้า” เป็นซีอีโอแต่เพียงผู้เดียว และเดินสายขยายโอกาสทางธุรกิจด้วยการจัดอีเวนต์พรีเซนต์เพื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ประโยชน์ของการจับคู่แบบดีเอ็นเอ ท่ามกลางข้อวิพากษ์จากทั้งฝ่ายการเมืองและสื่อสารมวลชน ว่าธุรกิจวิทยาศาสตร์การจับคู่หารักแท้นี้กำลังล่วงละเมิดความเป็นส่วนตัวทางชีวภาพของมนุษย์หรือไม่ เพราะดีเอ็นเอของมนุษย์ทั้งโลกจะกลายเป็นบิ๊กดาต้าให้กับบริษัท The One ในการหากำไร

ด้วยพล็อตเรื่องที่น่าสนใจเกี่ยวกับการจับคู่ในโลกยุคใหม่ที่ชวนติดตาม ผนวกกับเส้นเรื่องหลักคือ การไขคดีฆาตกรรมที่โยงใยกับ “รีเบคก้า” ซีอีโอของ The One

แต่ที่น่าสนใจจริงๆ ในซีรีส์เรื่องนี้คือ เมื่อเกิดธุรกิจจับคู่ดีเอ็นเอหาคู่แท้ขึ้นมาในโลก ก็ชวนตั้งคำถามว่าชีวิตของเราจะยุ่งเหยิงแค่ไหน ซึ่งหนึ่งในประเด็นสำคัญคือ เกิดปัญหาการหย่าร้างสูงขึ้น จากการที่คู่สามีภรรยา หรือคู่ชีวิตหลายคู่ตัดสินใจเลิกราต่อกัน เพื่อไปอยู่กับคู่แท้พรหมลิขิตจากดีเอ็นเอแทน โดยในเรื่องแสดงให้เห็นว่าการจับคู่ผ่านดีเอ็นเอทำให้เราเจอคนที่ใช่ในระดับเกิดเคมีระหว่างกันอย่างไม่สิ้นสุด เป็นความรักความผูกพันแบบที่เป็น Soulmate แล้วนั่นเอง ซึ่งกลายเป็นผลพวงด้านร้ายของเทคโนโลยีที่บริษัท The One คิดค้นนั้นก็ทำให้คู่ชีวิตหลายคู่ตัดสินใจแยกทาง หรืออีกฝ่ายทิ้งอีกฝ่ายไปหลังจากค้นพบว่าพวกเขาไม่ใช่ดีเอ็นเอที่เป็น Soulmate ของกันและกัน

Advertisement

เมื่อธุรกิจจับคู่กลับสร้างผลกระทบอีกด้านให้บานปลายตามมา ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่อเทคโนโลยีนี้อย่างมาก ซึ่ง “รีเบคก้า” ซีอีโอของบริษัท The One ยังคงยืนกรานว่า วิทยาศาสตร์ที่คิดค้นขึ้นมานี้ช่วยให้มนุษยชาติมีชีวิตที่ดีขึ้นในระยะยาว และดูเหมือนผู้คนจำนวนหนึ่งก็คล้อยตามกับวิธีหาคู่แบบนี้เช่นกัน เพราะมันทั้งแน่นอน ชัดเจน แม่นยำ และปลอดภัยกว่าการพบเจอคู่ที่ไม่รู้ว่าจะใช่กันต่อไปในอนาคตหรือไม่

น่าคิดว่าเมื่อโลกทุกวันนี้เรากำลังพูดถึงสารพัดเทคโนโลยีที่มาช่วยอำนวยความสะดวกให้ชีวิตมนุษย์สุขสบายมากขึ้น เทคโนโลยีที่อาจช่วยให้คุณภาพชีวิตของมนุษย์ดีขึ้นทันตา แม้แต่การจับคู่ความสัมพันธ์ แต่ในอีกด้านร้ายที่ซีรีส์ The One ได้จำลองภาพวิทยาศาสตร์ที่ถูกออกแบบและคิดค้นขึ้นมาทำหน้าที่ราวกับพระเจ้าที่บงการควบคุมชีวิตมนุษย์ได้ และยังทำลายความเป็นธรรมชาติในตัวมนุษย์ไปเรื่อยๆ เมื่อชีวิตในด้านความรักความสัมพันธ์ถูกวิทยาศาสตร์และอัลกอริทึมเข้ามาคัดสรรจัดระบบให้แบบที่ไม่ต้องผ่านสุนทรียศาสตร์ใดๆ คนสองคนไม่ต้องผ่านการเรียนรู้กันและกัน ไม่ต้องค่อยๆ ทำความรู้จักตัวตนอีกฝ่าย

คำถามที่ตามมาคือ ในแง่ความรักความสัมพันธ์แล้วมนุษย์อยากจะถูกสปอยล์และเฉลยผลลัพธ์ทันทีโดยไม่ผ่านกระบวนการใดๆ เลยจริงหรือ

จุดหนึ่งที่เป็นคำตอบของเรื่องนี้ น่าเสียดายว่าในซีรีส์ The One กลับไม่ขยี้มากนัก นั่นคือ เส้นเรื่องของบรรดาคู่ชีวิตและผู้คนที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับวิธีจับคู่ความสมพันธ์ด้วยอัลกอรึทึมที่ต่างก็ได้รับผลกระทบกันต่างๆ นานา

อย่างไรก็ตาม ภาพรวม The One ถือเป็นซีรีส์ที่น่าติดตาม ในแง่ที่มันได้สะท้อนถึงโลกยุคใหม่ในโลกจริงทุกวันนี้ได้ดีทีเดียว โลกที่ผู้คนเชื่อว่าเทคโนโลยีได้มีส่วนช่วยให้ชีวิตประจำวันของเรามีคุณภาพมากขึ้นมีความ Smart ต่างๆ รอบตัว แต่ถ้าวันหนึ่งเทคโนโลยีนั้นเริ่มก้าวหน้าท้าทายมนุษย์เกินขอบเขตจะเกิดอะไรขึ้น…

ภาพสะท้อนจาก The One จึงกำลังบอกกับเราว่า ด้านที่สวยงามของเทคโนโลยีที่มอบความสะดวกสบายให้ มอบผลลัพธ์ที่แม่นยำให้ โดยไม่ต้องเสียเวลาแสวงหา ฟังดูเหมือนจะเป็นเรื่องดีที่ชีวิตจะไปข้างหน้าโดยไม่ต้องวอกแวกเสียเวลากว่าครึ่งชีวิตในเรื่องความรักความสัมพันธ์ แต่ด้านมืดเทาของมันก็กลับบั่นทอนเสน่ห์ของการใช้ชีวิตของเราไปอย่างสิ้นเชิง ความสะดวกสบายประหยัดเวลาที่ไม่ทำให้เราได้เรียนรู้ถึงความลุ่มลึกใดๆ ทั้งความเศร้าโศก ความผิดหวัง ความสุข ความเจ็บปวดจากความสัมพันธ์ ซึ่งทั้งหมดได้หล่อหลอมให้เราเป็นมนุษย์ที่ได้เติบโตและเรียนรู้ มีเลือดเนื้อและจิตวิญญาณนั่นเอง

(ภาพประกอบจาก Youtube Video / Netflix)

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image