‘ศูนย์พัฒนาเด็ก’ ผันโจทย์เป็น ‘โค้ชชิ่ง’ สนทนาผู้ปกครอง ไม่หยุดเรียนรู้ เตรียมพร้อม ‘หลังโควิด’

ไม่เพียงแค่การเรียนออนไลน์ในสถานการณ์จำยอมด้วยโรคระบาดอย่างไวรัสโควิด-19 จะนำมาซึ่งความเครียดสะสม และปมปัญหาตั้งแต่นักเรียนชั้นประถมศึกษาจนถึงมหาวิทยาลัย

ทว่าการต้องปิดศูนย์พัฒนาเด็กอย่างยาวนานด้วยภาวะเช่นเดียวกันนี้ ย่อมก่อให้เกิดปัญหากับพัฒนาการในด้านต่างๆ ของเด็กไม่ว่าจะเป็นพัฒนาการด้านร่างกาย พัฒนาการทางสมอง การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น โอกาสที่จะสร้างประสบการณ์ดีๆ ให้กับเด็กเพื่อก้าวไปสู่การเรียนในขั้นพื้นฐานก็ยิ่งลดลง และยังเป็นตัวการสำคัญที่จะนำพาเด็กหลุดไปจากระบบการศึกษาอีกด้วย

แน่นอนว่าการปรับตัวคือหนึ่งในทางออก แต่จะปรับอย่างไร และออกทางไหนให้มีประสิทธิภาพมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ?

สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) พาทุกคนไปถอดบทเรียนครั้งสำคัญกับแนวทางตั้งรับของ ศูนย์พัฒนาเด็กต้นแบบ ในพื้นที่เทศบาลบ่อตรุ อ.ระโนด จ.สงขลา ซึ่งขับเคลื่อนให้การเรียนการสอนในศูนย์พัฒนาเด็กไปต่อได้

Advertisement

สุวิดา ศรีนาค ผู้อำนวยการกองการศึกษา เทศบาลตำบลบ่อตรุ อ.ระโนด จ.สงขลา เล่าว่า ในพื้นที่เทศบาลบ่อตรุมีศูนย์พัฒนาเด็กภายใต้การดูแลจำนวน 4 ศูนย์มีเด็กเล็ก 151 คน ครู 15 คน ทางเทศบาลมีนโยบายในการดูแลเด็กก่อนวัยเรียนตามมาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ ซึ่งกำหนดกิจกรรมหลักสูตรเพื่อเตรียมความพร้อมด้านร่างกาย พัฒนาด้านสมอง และส่งเสริมให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบตัว รวมไปถึงการพัฒนาสถานที่ ห้องเรียนให้น่าเรียน ซึ่งที่ผ่านมาทางเทศบาลและศูนย์ได้เตรียมความพร้อมรอเปิดเทอมไว้เป็นที่เรียบร้อย แต่จากการการระบาดของโควิด-19 ทำให้กิจกรรมทุกอย่างไม่สามารถดำเนินการได้ ทางเทศบาลจึงได้มีการหารือกับครูประจำศูนย์พัฒนาเด็กเล็กทั้ง 4 ศูนย์ เพื่อปรับรูปแบบการเรียนการสอนช่วงที่ต้องปิดศูนย์เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19

รูปแบบที่ว่านี้ คือการจัดทำใบงานพร้อมทั้งอธิบายวิธีทำ รวมถึงวิธีการสอนให้แก่ผู้ปกครอง ในใบงานดังกล่าวมีกิจกรรมเสริมสร้างทั้งด้านร่างกาย และพัฒนาการด้านการเรียนรู้ ให้เด็กๆ 5 กิจกรรม โดยทำวันละ 1 กิจกรรมเท่านั้น เช่น ให้ผู้ปกครองช่วยเด็กพูดคุย คำตอบถามง่ายๆ เพื่อกระตุ้นให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง กิจกรรมฝึกกล้ามเนื้อมัดเล็ก กิจกรรมหนึ่งสัปดาห์แรกพบ ซึ่งเป็นการแนะนำเพื่อนร่วมชั้น ครูประจำชั้น ห้องเรียนผ่านรูปถ่ายบนในงานเพื่อให้เด็กเกิดความคุ้นเคยเหมือนกับการได้ไปเรียนจริงในห้องเรียน นอกจากนี้เทศบาลยังได้มีแนวทางให้ครูอัดคลิปวิดีโอสั้นๆ เพื่ออธิบายวิธีการสอนเด็กทำกิจกรรมให้แก่ผู้ปกครองด้วย

Advertisement

“การระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้เด็กค่อนข้างมาก สิ่งที่เทศบาลและครูประจำศูนย์พัฒนาเด็กต้องทำคือการปรับกระบวนการ รูปแบบให้การเรียนรู้เกิดความต่อเนื่อง เด็กทุกคนได้ทำกิจกรรมเหมือนกับการมาเรียนรู้ที่ศูนย์ แต่ต้องทำบนพื้นฐานที่ไม่สร้างภาระเพิ่มเติมให้แก่ผู้ปกครอง เพราะในบางครอบครัวผู้ปกครองต้องออกไปทำงานนอกบ้านปล่อยลูกไว้กับปู่ ย่า ตา ยาย ดังนั้นทางเทศบาลก็ได้พยายามหาวิธีการที่จะช่วยให้ผู้ปกครองสอนเด็กๆ ได้ง่ายและสะดวกที่สุด อย่างน้อยหากไม่สามารถสอนตามกิจกรรมที่ให้ไปได้ผู้ปกครองก็สามารถสอนให้พวกเข้าได้ช่วยเหลือตนเองผ่านการให้ทำกิจวัตรประจำวัน เพื่อเป็นการกระตุ้นให้เด็กเกิดการเรียนรู้จากสิ่งใกล้ตัว และเป็นการเตรียมความพร้อมให้เด็กกลับเข้ามาเรียนรู้ที่ศูนย์อีกครั้งหลังสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ดีขึ้น” สุวิดาอธิบาย

นิยดา จันทร์ทอง

ในขณะที่ นิยดา จันทร์ทอง ครูประจำศูนย์พัฒนาเด็กเล็กโรงเรียนวัดประดู่ เทศบาลตำบลบ่อตรุ เล่าว่า ในช่วงที่โควิด-19 ระบาด ทำให้ศูนย์พัฒนาเด็กโรงเรียนวัดประดู่ได้ปรับรูปแบบการสอน และการทำกิจกรรมใหม่ทั้งหมด ในเบื้องต้นทางศูนย์พัฒนาเด็ก จะมีการประสานไปยังผู้ปกครองเพื่อให้ผู้ปกครองเข้ามารับใบงาน พร้อมรับฟังแนวทาง รูปแบบ วิธีการดูแลลูกๆ ในเบื้องต้น โดยกิจกรรมส่วนใหญ่ที่มอบหมายให้ผู้ปกครองไปนั้นจะเน้นการกิจกรรมตามสถานการณ์โดยไม่สร้างภาระเพิ่มเติมให้ผู้ปกครอง และสามารถนำไปต่อยอดสำหรับการสอนเด็กๆ ที่บ้านได้ เช่น ช่วงวันแม่ที่ผ่านมาให้ผู้ปกครองสอนเด็กๆ ทำพวงมาลัย

นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมเพื่อเน้นการสร้างและกระตุ้นพัฒนาการในตัวเด็กเล็กร่วมด้วยไม่ว่าจะเป็นกการพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็กผ่านการส่งดินน้ำมันไปให้เด็กปั้นที่บ้าน การฝึกความอดทนและฝึกสมาธิโดยการส่งหนังสือนิทานไปให้เด็กหลังจากนั้นทาง ศพด.จะให้ผู้ปกครองรายงานกลับมาว่าเด็กฉีกหนังสือนิทานหรือไม่ ส่วนการสร้างปฏิสัมพันธ์จะเน้นการฝึกให้เด็กพูดคุยกับคนในครอบครัวก่อน เพราะระยะนี้เด็กอาจจะไม่สามารถออกไปเล่นกับเพื่อนๆ ได้

“จากการติดตามผลผ่านการพูดคุยและหารือกับผู้ปกครองส่วนใหญ่แล้วผู้ปกครองมีความเข้าใจ และสามารถนำกิจกรรมต่างๆ ไปประยุกต์สอนลูกๆ ได้ค่อนข้างดี โดยการให้ผู้ปกครองเป็นตัวแทนคุณครูในช่วงที่เปิดการเรียนการสอนไม่ได้นั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กจะต้องยึดเป็นแนวทางหลัก เพราะผู้ปกครองเป็นคนที่ใกล้ชิดเด็กมากที่สุดในระยะนี้ ตนอยากฝากถึงผู้ปกครองเพิ่มเติมว่าในระหว่างนี้พยายามฝึกให้เด็กช่วยเหลือต้นเองในเบื้องต้นให้ได้ แม้ว่าบางครั้งอาจจะเสียเวลารอพวกเขาไปนิดหน่อยแต่การฝึกให้เด็กเล็กทำอะไรง่ายๆ เอง ก็เรียกว่าเป็นบทเรียนที่สำคัญกับตัวเด็กเช่นกัน” นิยดากล่าว

ดร.นันทา หงวนตัด

ปิดท้ายที่ ดร.นันทา หงวนตัด รักษาการผู้อำนวยการสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพกายศึกษา หรือ สมศ. ซึ่งย้ำว่า เด็กในช่วงปฐมวัยถือว่าเป็นช่วงวัยที่ทุกภาคส่วนต้องให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างพัฒนาการ เพราะจุดเริ่มต้นการเรียน และพัฒนาการด้านต่างๆ ของเด็กจะเริ่มต้นขึ้นในวัยนี้ ซึ่งที่ผ่านมาการระบาดของโควิด-19 ได้ส่งกระทบต่อการจัดกิจกรรม การเรียนการการสอนของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กค่อนข้างมาก แต่จากการเข้าไปประเมินคุณภาพภายนอก สมศ. พบว่าหน่วยงานปกครองท้องถิ่นและศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก มีการปรับตัวได้ค่อนข้างดีมาก โดยหลายพื้นที่ได้มีการให้ความรู้แก่ผู้ปกครองเพื่อให้ผู้ปกครองได้นำกิจกรรม หรือแนวทางไปสอนเด็กๆ ที่บ้านต่อ ด้านผลการประเมินคุณภาพภายนอกในระดับการศึกษาปฐมวัยที่ สมศ. ดำเนินการประเมินและรับรองผลไปแล้วนั้น มีสถานศึกษาเข้ารับการประเมินจำนวนทั้งสิ้น 4,540 แห่ง พบว่าสถานศึกษา พบว่ามีผลการประเมินด้านคุณภาพของเด็กปฐมวัย อยู่ในระดับดีจำนวน 3,307 แห่ง คิดเป็น 73% ของจำนวนศูนย์พัฒนาเด็กทั้งหมด

“สมศ.ได้ให้ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาคุณภาพทั้งด้านผู้เรียน ด้านการจัดการเรียนการสอนในระยะนี้ โดยศูนย์พัฒนาเด็กจะต้องดำเนินการพัฒนาหลักสูตร รูปแบบการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับบริบทของเด็กเล็กให้ได้มากที่สุด อีกทั้งยังต้องพยายามพัฒนา-อบรมครูผู้สอนอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์และรูปแบบการเรียนการสอนที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงได้แนะนำให้ประสานงานกับผู้ปกครองและชุมชนอย่างต่อเนื่อง เพราะปัจจุบันรูปแบบการเรียนรู้ของเด็กเกิดขึ้นภายในชุมชน และครอบครัว รวมไปถึงการนำเอาผลการประเมินที่ได้รับไปปรับใช้เพื่อการพัฒนาการเรียนการสอนให้เกิดความต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ในส่วนของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่ยังไม่ได้รับการประเมิน สมศ.ก็ได้พยายามชี้ให้เห็นถึงรูปแบบการประเมินที่มีการเปลี่ยนแปลง และสิ่งที่จะได้รับจากการประเมินภายนอกในรอบปี 2564 ผ่านการให้ความรู้บนช่องทางต่างๆ

โดยเชื่อมั่นว่าการประเมินคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาจะช่วยให้สถานศึกษาในทุกระดับมีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน” ดร.นันทาทิ้งท้าย

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image