หลงฟ้า!
เครื่องบินรบในสงครามโรคระบาด
โดย สุรชาติ บำรุงสุข
สังคมไทยต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 มาตั้งแต่ปี 2563 ต่อเนื่องเข้าปี 2564 และปี 2565 อย่างน่ากังวล จนเสมือนกับเรากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ “สงครามโรคระบาด” ที่ยังมองไม่เหมือนจุดสิ้นสุด ซึ่งการเข้าสู่สงครามในปีที่สามนั้น ประเทศย่อมบอบช้ำจากปัจจัยเชิงลบต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะในมิติของชีวิตประชาชนโดยรวม ที่ถูกกระทบอย่างมากทั้งทางสังคมและเศรษฐกิจ จนอาจต้องยอมรับว่า สงครามโรคระบาดครั้งนี้เป็นวิกฤตใหญ่ที่สุดที่ไทยเคยเผชิญ หรือที่นักวิชาการในยุโรปกล่าวเปรียบเทียบว่า ไม่มีภัยคุกคามอะไรใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่การสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่ 2 เท่ากับการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในปัจจุบัน
สงครามโรคระบาดในปี 2565 ยังคงมีแนวโน้มที่ขยายตัวมากขึ้น และเกิดการกระจายอย่างรวดเร็วจากการกลายพันธ์ุที่เป็นเชื้อ “โอไมครอน” ดังที่ปรากฏให้เห็นชัดจากการระบาดที่เกิดขึ้นในสังคมตะวันตก จนการแพร่ระบาดของเชื้อโอไมครอนเป็น “โจทย์หลัก” ที่สำคัญของโลกปัจจุบัน ซึ่งไทยเองก็ไม่ต่างจากหลายประเทศในเวทีโลก ที่ยังต้องรับมือกับการระบาดไม่ต่างจากปีที่ผ่านมา และเป็นดังการก้าวสู่ปีที่สามของสงครามชุดนี้
อย่างไรก็ตาม ในท่ามกลางการระบาดของโอไมครอนนั้น สังคมไทยยังเผชิญกับ “โจทย์ใหม่” คือ โรคระบาดในสุกร ที่นำไปสู่การเสียชีวิตของหมูเป็นจำนวนมาก อันนำไปสู่การขาดแคลนเนื้อหมู จนทำให้ราคาหมูที่เป็นอาหารพื้นฐานของคนในสังคมไทย ราคาขยับตัวสูงขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน และในขณะเดียวกันก็พาราคาสินค้าอื่นๆ เช่น ราคาเนื้อไก่ และราคาไข่ไก่ แพงตามไปด้วย ซึ่งส่งผลอย่างมากต่อชีวิตของผู้คน อันทำให้ชีวิตของหลายครอบครัวในสังคมตกอยู่ในวิกฤตขนาดใหญ่อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ปัญหาเช่นนี้จึงเป็นเหมือนภาวะ “สงครามซ้ำซ้อน” คือ ประเทศเผชิญกับ “สงครามโรคระบาด” และผู้คนในสังคมเผชิญกับ “สงครามชีวิต” ที่มีผลกระทบต่อชีวิตของคนในสังคมอย่างรุนแรง รวมทั้งการต้องแบกรับปัญหาค่าครองชีพในปัจจุบัน… ประเทศบอบช้ำจากสงครามโรคระบาดเช่นใด คนในสังคมก็บอบช้ำจากสงครามชีวิตเช่นนั้น จนอาจเปรียบเทียบได้ว่า เป็นดัง “ยุคข้าวยากหมากแพง” อย่างแท้จริง
ในสภาวะเช่นนี้ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีเสียงเรียกร้องให้รัฐบาลหันมาสนใจเรื่อง “รัฐสวัสดิการ” ซึ่งเป็นหน้าที่โดยตรงของภาครัฐที่จะต้องดูแลชีวิตของประชาชนในยามวิกฤต และการทำหน้าที่เช่นนี้จะสะท้อนให้เห็นได้จากการใช้งบประมาณของตัวรัฐบาล เพราะการจัดสรรงบประมาณจะเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงทิศทางและการจัดลำดับความสำคัญของรัฐบาลในการแก้ปัญหาของประเทศ โดยเฉพาะการจัดสรรงบเพื่อพยุงชีวิตของผู้คนในยามยาก
ฉะนั้น ในสงครามโรคระบาดและในสงครามชีวิต ที่ส่งผลกระทบในหลายๆ ด้านต่อชีวิตของผู้คน จึงทำให้เกิดเสียงคัดค้านรัฐบาลในการใช้งบประมาณด้านการทหาร เพราะหลายฝ่ายในสถานการณ์เช่นนี้มีความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า รัฐบาลไทยควรจะใช้งบประมาณในการแก้ปัญหาโรคระบาด และดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน มากกว่าจะนำไปใช้ในการซื้ออาวุธ อีกทั้งมองไม่เห็นว่า ยุทโธปกรณ์ที่กองทัพต้องการสำหรับ “สงครามทางทหาร” นั้น จะมีความจำเป็นต่อการแก้ไขปัญหา “สงครามชีวิต” ที่วันนี้มี “สงครามโรคระบาด” เป็นแรงขับเคลื่อนได้อย่างไร
รัฐบาลและผู้นำทหารคงต้องยอมรับว่า ทัศนะของคนส่วนใหญ่ในสังคมไทยไม่ได้เป็นไปในทิศทางเดียวกับฝ่ายทหาร คนอยากเห็นรัฐบาลแก้ปัญหาสงครามโรคระบาด และสงครามชีวิตที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่อย่างแสนสาหัส แต่คำตอบที่ได้ในอีกด้านหนึ่งคือ กองทัพอากาศเตรียมจัดทำงบประมาณเพื่อขอซื้อเครื่องบินรบฝูงใหม่ และข่าวนี้เริ่มปรากฎจากการนำเสนอของสื่อในวันที่ 31 ธันวาคม 2564 โดยผู้บัญชาการทหารอากาศ กล่าวว่า เครื่องบินขับไล่ เอฟ-35 เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด แม้ต่อมา กองทัพอากาศจะไม่ยอมรับตรงๆ ว่า จะจัดซื้อเครื่องบินรบแบบใด
ข่าวรับปีใหม่ 2565 จากกองทัพอากาศ ไม่ใช่เรื่องที่น่าอภิรมย์ใจในยามที่สังคมกำลังเผชิญกับวิกฤตต่างๆ อย่างรอบด้าน และยังมองไม่เห็นว่า สังคมไทยจะฟื้นตัวได้จริงจากวิกฤตที่รุมเร้าเหล่านี้ได้อย่างไร แต่กองทัพอากาศก็นำเสนอ “ของขวัญปีใหม่” ให้สังคมไทยได้อย่างไม่คาดคิด จนเสมือนกองทัพอากาศไม่ตระหนักถึงบทเรียนจากแรงต้านและเสียงคัดค้านที่เกิดขึ้นกับการจัดซื้อเรือดำน้ำของกองทัพเรือ จนในที่สุดผู้บัญชาการทหารเรือปัจจุบัน ได้ตัดสินใจยุติปัญหานี้ ด้วยการไม่เสนอของจัดซื้อเรือดำน้ำลำที่ 2 อีก แต่กองทัพอากาศกลับพลิกความคาดหมายด้วยการประกาศเตรียมจัดซื้อเครื่องบินรบฝูงใหม่ และพยายามจะสร้างแรงจูงใจให้สังคมเห็นพ้องด้วยการเอาราคามาเป็นข้อเสนอ โดยกองทัพอากาศเชื่อว่า จากราคาเครื่องเปล่าแต่เดิมจาก 142 ล้านเหรียญต่อเครื่อง ปัจจุบันลดลงเหลือ 82 ล้านเหรียญ และกองทัพอากาศเสนอว่า ไทยจะสามารถต่อรองได้ในราคาประมาณ 70 ล้านเหรียญต่อเครื่อง พร้อมกันนี้ คณะรัฐมนตรีในวันที่ 11 มกราคม ที่ผ่านมา ได้อนุมัติงบประมาณเพื่อเตรียมการจัดซื้อครั้งนี้ เป็นมูลค่าถึง 1 หมื่น 3 พัน 800 ล้านบาท
นอกจากนี้ กองทัพอากาศยังสำทับด้วยการเอาปัจจัยราคามาข่มขู่สังคมอีกด้วยว่า ถ้าไม่ซื้อตอนนี้แล้ว ราคาอาจจะขยับขึ้นในอนาคต ผู้นำทหารอากาศอาจจะต้องคิดด้วยวิจารณญาณว่า การจัดซื้ออาวุธหลักที่มีมูลค่าสูงเช่นเครื่องบินรบนั้น ไม่ใช่รายการซื้อของในเว็ป ที่ต้องมีเวลาซื้อ… ถ้าไม่ซื้อเวลานี้ สินค้าจะขึ้นราคา เพราะรัฐบาลไทยคงไม่ซื้อเครื่องเอฟ-35 ของบริษัทล็อคฮีท มาร์ติน ผ่านเว็บแบบ Shopee หรือ Lazada ที่ผู้ซื้อมักถูกบีบให้ตัดสินใจซื้อด้วยเงื่อนไขเวลาลดราคาสินค้า
อีกทั้ง ในทำเนียบกำลังรบที่ปรากฏในรายงานระหว่างประเทศ กองทัพอากาศไทยมีเครื่องบินขับไล่แบบเอฟ-16 ทั้งแบบเอ (38) และบี (15) รวม 53 เครื่อง มีเครื่องขับไล่โจมตีแบบกริพเพน ทั้งแบบซี (7) และดี (4) รวม 11 เครื่อง และเครื่องบินโจมตีแบบอัลฟาเจ็ต รวม 16 เครื่อง ซึ่งกำลังรบเช่นนี้ไม่ใช่กองทัพอากาศขนาดเล็กในภูมิภาค อย่างไรก็ตาม ผู้นำทหารคงต้องตอบในอีกด้านว่า ภัยคุกคามทางทหารที่ไทยเผชิญในขณะนี้คืออะไร และมีความจำเป็นเพียงใดต้องจัดหาเครื่องบินรบฝูงใหม่ในขณะนี้ เพราะเครื่องบินรบที่ไม่รองรับต่อความต้องการทางยุทธศาสตร์ของประเทศนั้น เป็นได้เพียงเครื่องบินที่ “หลงฟ้า”
ถ้าผู้นำทหารไทยยังครองสติสัมปชัญญะได้บ้าง อยากขอให้ช่วยตระหนักถึงวิกฤต 2 ชุดที่เป็นภัยคุกคามที่แท้จริง คือ สงครามโรคระบาดและสงครามชีวิตที่คนในสังคมไทยส่วนใหญ่กำลังเผชิญเป็นมหันตภัยใหญ่ อีกทั้ง ผู้นำกองทัพควรต้องตระหนักว่า งบประมาณทหารไม่ใช่ “เงินส่วนตัว” ของผู้บัญชาการเหล่าทัพคนไหน แต่เป็นเงินที่มาจากภาษีของประชาชน และประชาชนอยากเห็นรัฐบาลใช้งบที่ตอบสนองต่อการแก้ไขปัญหาที่เป็นวิกฤตของประเทศ โดยเฉพาะในยามนี้ คงต้องยอมรับความจริงว่า คนในสังคมมองต่างมุมกับผู้นำทหารอย่างมาก “สงครามทางทหาร” ที่ฝ่ายกองทัพพยายามเสนอขาย เพื่อให้คนสนับสนุนการซื้ออาวุธที่มีมูลค่าสูงนั้น ไม่ใช่วาทกรรมที่คนส่วนใหญ่จะตอบรับด้วยในยามนี้… กองทัพเรือเป็นตัวตลกให้ทหารต้องถูกล้อเลียนเรื่องเรือดำน้ำในทางการเมืองมาแล้วอย่างสนุกสนาน วันนี้เป็นคิวที่กองทัพอากาศจะได้เป็นตัวตลกบ้าง และบางที ทอ. จะได้เป็น “ทหารอากาศขาดรัก (จากประชาชน)” จริงๆ ไม่ใช่ทหารอากาศขาดรักในเพลงลูกทุ่ง!
แต่ถ้าวันนี้ ผู้บัญชาการทหารอากาศและเสือทั้งหลายใน ทอ. จะควักเอา “สตางค์ส่วนตัว” ซื้อเครื่องบินรบฝูงใหม่ เพราะอยากได้จนอดใจไม่ไหวแล้ว ผมยินดีสนับสนุน และพร้อมจะช่วยเขียนเชียร์เต็มที่… อยากเห็นเหมือนเมื่อครั้งนาวาอากาศเอกเลื่อน พงษ์โสภณ ออกสตางค์เองเพื่อซื้อเครื่องบิน “นางสาวสยาม” บินจากสหรัฐฯ กลับสู่ประเทศไทยในปี 2475 ซึ่งถ้าผู้นำในกองทัพอากาศจะออกเงินเองเช่นนี้บ้าง คงเป็นเรื่องน่าดีใจไม่น้อย!