รุก รับ ร่นถอย! : สุรชาติ บำรุงสุข

วันนี้คงต้องยอมรับว่า การเมืองไทยเดินมาถึง “จุดพลิกผัน” ที่อะไรๆ ก็อาจเกิดขึ้นได้ หรือคงต้องกล่าวสำหรับผู้สนใจการเมืองไทยว่า นับจากนี้ไป “ห้ามกระพริบตา” เป็นอันขาด เพราะสถานะของรัฐบาลและตัวผู้นำซึ่งเป็นเสมือนกับ “แม่ทัพใหญ่กลางสนามรบ” กำลังเผชิญกับการปิดล้อมของฝ่ายตรงข้าม และถูกกระชับวงล้อมมากขึ้นทุกวัน จนเริ่มมีคำถามด้วยความกังวลว่า แม่ทัพใหญ่จะอยู่รอดจากการรบครั้งนี้ไปได้หรือไม่

ดังนั้น บทความนี้จะทดลองมองทางเลือกของผู้นำรัฐบาลปัจจุบันผ่าน “หลักวิชาทหาร” ที่ส่วนหนึ่งผู้มีอำนาจในรัฐบาลและบรรดาคนสนิทนั้น ล้วนเคยผ่านการศึกษาในโรงเรียนเสนาธิการทหารบกมาแล้วทั้งสิ้น

โดยทั่วไปแล้ว โรงเรียนเสนาธิการทหารบกมักสอนหลักการทางทหารที่สำคัญ ซึ่งเราอาจสรุปด้วยหลัก 3 ประการ คือ “รุก-รับ-ร่นถอย” เพราะแม่ทัพจะต้องตระหนักเสมอว่า ในสถานการณ์การรบที่เกิดขึ้นนั้น ทางเลือกของผู้บังคับบัญชาในทุกระดับมีไม่เกินสามทางดังที่กล่าวแล้ว และหลักทั้งสามนี้คือ พื้นฐานของวิชาทหาร

ผู้บังคับบัญชาทางทหารยิ่งเป็นผู้ที่อยู่ในระดับสูงสุด ยิ่งต้องตระหนักเสมอว่า การเลือกในแต่ละช่องทางนั้น มีนัยอย่างมากในฐานะของการเป็นปัจจัยหลักที่จะส่งผลโดยตรงต่อการแพ้ชนะในสงคราม หรืออาจกล่าวได้ว่า ผู้บังคับบัญชาจะต้องตระหนักเสมอว่า เมื่อไหร่จะรุก… เมื่อไหร่จะรับ… เมื่อไหร่จะถอย

Advertisement

แน่นอนว่า แม่ทัพทุกคนอยากเป็น “ผู้ชนะ” ในการรบ แต่ในสนามรบมิใช่มีเพียงฝ่ายเดียว ดังนั้น การตัดสินใจย่อมขึ้นอยู่กับสภาวะที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการของอีกฝ่ายด้วย ซึ่งสภาวะเช่นนี้เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในการรบ หรือที่ประธานเหมาเจ๋อตุง กล่าวเตือนในสรรนิพนธ์การทหารว่า “คู่สงครามหรือคู่รบต่างเป็นกลุ่มคนมีชีวิตที่ติดอาวุธ และต่างก็ยังปกปิดความลับซึ่งกันและกัน ข้อนี้ย่อมแตกต่างกับการจัดการกับสิ่งไม่มีชีวิตหรือเรื่องประจำวันอย่างมากทีเดียว…”

ดังนั้น ชัยชนะในการรบจึงหมายถึง การที่ผู้บังคับบัญชาสามารถที่จะตัดสินใจให้สอดคล้องกับสภาพการณ์ที่เป็นจริงมากที่สุด หรืออาจกล่าวในทางทฤษฎีได้ว่า การวินิจฉัยและการตัดสินใจที่สอดรับกับสภาพความเป็นจริงของข้าศึก จะเป็นเงื่อนไขพื้นฐานของชัยชนะ นักการทหารที่ดีจึงไม่อาจวางแผนไว้บนความปรารถนาแห่งตนแต่เพียงด้านเดียว เพราะแผนการรบในลักษณะด้านเดียวเช่นนั้น ถ้าไม่ “เพ้อฝัน” เกินไป ก็ไม่ “สอดคล้อง” กับความเป็นจริงของสถานการณ์

หากมองจากมุมเช่นนี้แล้ว บางทีเราอาจกล่าวในเชิงเปรียบเทียบได้ว่า การเมืองและการสงครามไม่ได้แตกต่างกัน กล่าวคือ สนามรบในสองมิตินี้มีความคล้ายคลึงกันอย่างมาก จนบางครั้งมีการกล่าวเปรียบเปรยว่า สงครามการเมืองและสงครามการทหารมีความโหดร้ายและรุนแรงไม่แตกต่างกัน และอยู่ภายใต้เงื่อนไขของการต่อสู้ที่ไม่แตกต่างกันด้วย อีกทั้ง ยังจะต้องตระหนักเสมอว่า คู่ต่อสู้อีกฝ่ายหนึ่งเป็น “คน” ที่มีความคิดและกำลัง หรือดังที่กล่าวแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสนามรบทางการเมืองหรือสนามรบทางการทหาร ฝ่ายตรงข้ามเป็น “สิ่งที่มีชีวิต” ไม่ใช่เป็น “วัตถุ” ที่คิดไม่ได้… เคลื่อนไหวไม่ได้

Advertisement

ดังนั้น ในสนามรบทางการเมืองครั้งนี้ จึงน่าสนใจอย่างมากว่า “แม่ทัพใหญ่ประยุทธ์” จะตัดสินใจอย่างไร โดยเฉพาะหากพิจารณาแล้ว ทางเลือกสามประการในทางทหารยังเป็นข้อพิจารณาที่ดีเสมอ แต่ก็มีคำถามกับความเป็นจริงที่จะตามมาว่า สิ่งที่ผู้บังคับบัญชาในสนามรบทุกคนจะต้องตอบให้ได้ก็คือ หากเขาเลือกทางหนึ่งทางใดแล้ว เขาจะดำเนินการอย่างไรในทางเลือกนั้นๆ

ปัญหาสองประการที่ผูกติดกันเช่นนี้ ทำให้แม่ทัพและฝ่ายอำนวยการจะต้องคิดอย่างมาก และคิดให้ได้ ซึ่งเราอาจทดลองจำแนกทางเลือกทั้งสามได้ ดังนี้

1) ถ้าตัดสินใจที่จะเปิดการรุก ปัญหาที่ต้องตอบให้ได้ก็คือ แม่ทัพยังมีพลังอำนาจพอที่ทำการรุกในสนามรบครั้งนี้ได้หรือไม่ เพราะการรุกจะสามารถเกิดได้จริงก็ต่อเมื่อ เขาต้องมีทรัพยากรและปัจจัยสนับสนุนในมือมากพอที่จะทำให้การรุกนั้น ไม่ใช่เป็นเพียงความฝันบนแผ่นกระดาษ แต่ดูเหมือนรัฐบาลวันนี้ มีข้อจำกัดในด้านต่างๆอย่างมาก จนหลายฝ่ายมีทัศนะที่สอดคล้องกันว่า โอกาสที่จะเปิดการรุกของ “แม่ทัพประยุทธ์” น่าจะเป็นไปได้ยาก โดยเฉพาะพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งเป็น “ทัพใหญ่” ของเขา ตกอยู่ในสภาวะ “ทัพแตก” จากปัญหากบฏภายใน ส่วนพรรคร่วมรัฐบาล ก็เป็นเหมือน “ทัพลวง” เพราะไม่มีใครมั่นใจว่า หากเกิดการรบจริงแล้ว ไพร่พลของพรรคร่วมเหล่านี้ จะช่วยรบอย่างแข็งขัน หรือจะปล่อยแม่ทัพใหญ่ตายกลางการรบ

2) ถ้าการรุกเป็นทางเลือกที่ไม่เป็นจริง แม่ทัพจะ “รับ” อย่างไร ซึ่งว่าที่จริงแล้ว ในทฤษฎีทางทหารนั้น การรับยากกว่าการรุก และอาจจะยากกว่ามาก โดยเฉพาะจะรับอย่างไรที่ไม่ทำให้เกิดการนำไปสู่ความพ่ายแพ้ ฉะนั้น การรบด้วยทฤษฎี “การรับทางยุทธศาสตร์” จึงถือเป็นเรื่องที่ยากที่สุด เพราะหากการรับเกิดความผิดพลาดขึ้นแล้ว สิ่งที่จะตามมาคือ การถูกปิดล้อมและความพ่ายแพ้ ในสภาพเช่นนี้ ย่อมทำให้เกิดคำถามว่า แม่ทัพประยุทธ์และบรรดาแม่ทัพนายกองของเขามีทักษะมากพอต่อการรับทางยุทธศาสตร์เพียงใด ดังจะเห็นได้ว่า รัฐบาลวันนี้ตกเป็น “ฝ่ายรับ” จนแทบจะมองไม่เห็นหนทางที่จะตีฝ่าวงล้อมของ “ทัพข้าศึก” ออกไปได้ และเสมือนกับการรอเวลาที่ฝ่ายตรงข้ามจะเปิดการรุกเข้าตีเพื่อสลายแนวตั้งรับที่มีอยู่ทั้งแนว และปฎิเสธในอีกทางไม่ได้เลยว่า แนวรับนี้ถอยร่นอย่างมากจากการกบฏภายในของทัพตัวเอง

3) แต่ถ้าทั้งการรุกและการรับเป็นหนทางปฎิบัติที่ทำไม่ได้จริงแล้ว ทางเลือกสุดท้ายที่เหลืออยู่คือการ “ร่นถอย” ซึ่งอาจจะไม่ต่างจากการรับ เพราะการถอยเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่มีความละเอียดอ่อนในวิชาทหาร ถ้าแม่ทัพใหญ่ไม่รู้จักการถอยในเวลาที่จำเป็นแล้ว สิ่งที่จะเกิดขึ้นอาจไม่ต่างกับการ “เอาหัวชนกำแพง” และการเดินหน้าเข้าทำการรบในเงื่อนไขที่ตนเองเป็นฝ่ายเสียเปรียบนั้น มิได้มีนัยว่า หัวชนกำแพงแล้วจะชนะ ซึ่งหากแม่ทัพไม่รู้จักการถอยแล้ว สิ่งที่จะตามมาคือ กำลังของเขาจะถูกทำลายในสนามรบ และจบลงด้วยความพ่ายแพ้ ดังนั้น คำถามสำคัญทั้งในทางการทหารคือ จะถอยอย่างไรไม่ให้แพ้ ซึ่งประเด็นเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายในทางทหาร เพราะถ้าผิดพลาดในการถอยแล้ว คำตอบมีเพียงประการเดียวคือ “แพ้แน่นอน”

ฉะนั้น หากมองการเมืองไทยปัจจุบันผ่านวิชาทหารแล้ว สามคำถามสำคัญจากโรงเรียนเสนาธิการทหารบกคือ “รุก-รับ-ร่นถอย” เป็นความท้าทายต่ออนาคตของแม่ทัพประยุทธ์อย่างยิ่ง แต่ปัญหาที่โหดร้ายกว่าในสนามรบทางการเมืองคือ จะทำอย่างไรถ้าผู้นำรัฐบาลรุกก็ไม่ได้… รับก็ไม่เป็น… ถอยก็ไม่ไป !

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image