ที่เห็นและเป็นไป : ‘ชะตากรรม’ถาวร

ที่เห็นและเป็นไป : ‘ชะตากรรม’ถาวร

ที่เห็นและเป็นไป : ‘ชะตากรรม’ถาวร

แม้จะดูกะปลกกะเปลี้ยทำท่าจะไปรอดมิรอดแหล่ แต่ก็ยังไม่มีเงื่อนไขอะไรที่ทำให้รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องพ้นไปจากอำนาจ

พรรคร่วมรัฐบาล แม้จะแสดงออกชัดเจนถึงท่าทีว่าไม่ได้รักใคร่ “ผู้นำรัฐบาล” อย่างจีรังยั่งยืน ประกาศพร้อมเปลี่ยนขั้วหลังเลือกตั้งตามเงื่อนไขที่สอดคล้องเหมาะสม แสดงถึงอาการเลิกแคร์ความรู้สึกของพรรคแกนนำรัฐบาลที่หากเป็นเมื่อก่อนคงต้องระมัดระวังคำตอบในคำถามที่ละเอียดอ่อนต่อความคิดเช่นนี้

แต่เป็นที่รู้กันว่า หากยังมีผลประโยชน์ยังพอเก็บเกี่ยวได้ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ใครจะรีบให้เกิดความเปลี่ยนแปลง ออกจะดีกว่าเสียด้วยซ้ำ เพราะยิ่งผู้นำอ่อนแรงมากเท่าไร ในฐานะพรรคร่วมยิ่งมีพลังต่อรองมากขึ้นเท่านั้น

Advertisement

หันมองพรรคฝ่ายค้าน ตามปกติในสภาพการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมที่อ่วมอรทัยด้วยปัญหาอันสร้างความเดือดร้อนสาหัสสากรรจ์ให้ประชาชนเช่นนี้ ฝ่ายค้านจะต้องแสดงอิทธิฤทธิ์ให้เห็นกันชัดๆ ว่ารัฐบาลอยู่รอดยาก

แต่ทั้งที่เรื่องราวของพฤติกรรมของฝ่ายรัฐบาลเต็มไปด้วยประเด็นฉาวโฉ่ กลับดูเหมือนไม่เพียงขยับอะไรไม่ได้มากนัก นอกจากตีกลองโหมโรงไปวันๆ ซ้ำฝ่ายค้านยังเหมือนถูกรุกหนักด้วยการใช้อำนาจบางอย่างเข้าจัดการ จนเกิดความกังวลว่าที่สุดแล้ว จะพากันไม่รอดจากคดีความต่างๆ ที่เริ่มรุมเร้า และแสดงตัวอย่างให้เห็น

กระทั่งล่าสุดที่โหมกระพือถึงความพร้อมอภิปรายไม่ไว้วางใจทันทีที่เปิดสมัยประชุมสภาเดือนพฤษภาคมที่จะถึง ถึงวันนี้พลิกเลื่อนออกไปเป็นเดือนสิงหาคม ด้วยข่าวลือว่ามีการตกลงอะไรบางอย่างกับรัฐบาล

Advertisement

สำหรับกลไกราชการ และองค์กรแห่งอำนาจทั้งหลาย แม้จะดูนิ่งๆ ไปจากที่เคยคึกคักช่วงส่งเสริมอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเพื่อควบคุมความเป็นไปของประเทศให้ราบคาบ แต่ไม่มีสัญญาณอะไรที่สะท้อนแนวโน้มว่าจะเปลี่ยนแปลงทิศทางของการใช้อำนาจ เพื่อให้ชีวิตความเป็นไปของประเทศเป็นไปอย่างประชาชนคาดหวัง

และแม้แต่ประชาชนเองที่ถูกทับถมด้วยปัญหาปากท้องไม่รู้หยุดรู้หย่อน แต่ทุกคนทำได้แค่ก้มหน้าหากินกันไป ไม่มีพลังอะไรที่เพียงพอจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง หรือกระทั่งส่งเสียงให้ดังพอที่จะทำให้ผู้มีอำนาจเกิดความละอายที่ล้มเหลวต่อความรับผิดชอบ

แม้จะดูกะปลกกะเปลี้ย แต่หากถามว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับรัฐบาลหรือไม่ คำตอบคงเป็นอย่างที่แกนนำพรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรคเชื่อมั่นคือ “อยู่ต่อไปได้เท่าที่อยากอยู่” นั่นหมายถึงหากจะอยู่ครบวาระ 4 ปีก็คงเป็นไปตามนั้น

ไม่ใช่ ทักษิณ ชินวัตร หรอกที่พูดว่า “พล.อ.ประยุทธ์เก่งในเรื่องการบริหารอำนาจ”

เรื่องนี้รับรู้กันมาเนิ่นนาน และรับรู้มาตลอดว่า “ความสามารถในการบริหารอำนาจของผู้นี้อยู่ในขั้นสุดยอด”

ไม่ว่า “ฝีมือการบริหารประเทศจะเป็นอย่างไร ประชาชนจะเดือดร้อนกันสาหัสแสนเข็ญอย่างไร”

ทางเลือกที่ดีกว่านี้ “ไม่มี”

โครงสร้างอำนาจที่ถูกออกแบบไว้ ผ่าน “รัฐธรรมนูญ-กฎหมายต่างๆ และกลไกที่แต่งตั้งขึ้นตามกฎหมาย” ประกอบกันขึ้นเพื่อค้ำจุน เกื้อหนุน ปกป้องให้ความสามารถในการบริหารอำนาจนั้นยังทรงประสิทธิภาพ

เป็นโครงสร้างที่แข็งแกร่ง มั่นคง ถูกออกแบบไม่ให้อะไรมาเปลี่ยนแปลงได้ง่ายๆ

ไม่ใช่ว่าไม่มีใครรู้ว่า “โครงข่ายที่เอื้อต่อการสืบทอดอำนาจ” เป็นอย่างไร ทำงานอย่างไร อยู่ได้เพราะอะไร สร้างความเสียหายต่อสิทธิทางการเมืองที่เท่าเทียมแค่ไหน และง่ายต่อการใช้ทำลายคู่แข่งอย่างไร

ทว่ารู้ทั้งรู้ กลับไม่มีช่องทางให้ใครทำอะไรให้เกิดความเปลี่ยนแปลงสู่ครรลองของความชอบธรรมได้

ความเป็นไปของประเทศ และชีวิตของประชาชนไทยถูกออกแบบให้จำนนอยู่กับโครงสร้างแบบนี้

อย่างมองไม่เห็นทางออก

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image