ทหารอเมริกันรบกันเองในอังกฤษ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

เมื่อคนผิวขาวจากยุโรปมาเจอที่ดินที่กว้างใหญ่ไพศาลในทวีปอเมริกาแต่ขาดแรงงานที่จะต้องทำงานในท้องไร่ท้องนาก็เลยไปจับชาวผิวดำที่ทวีปแอฟริกามาเป็นทาสทำงานในท้องไร่ท้องนาร่วม 12 ล้านคน จนกระทั่ง พ.ศ.2408 (สมัยต้นรัชกาลที่ 5) จึงมีการเลิกทาสและชาวผิวดำจึงได้เป็นชาวอเมริกันชั้น 2 ตั้งแต่นั้นมา ปัจจุบันนี้มีประชากรผิวดำอเมริกันประมาณ 46.8 ล้านคน หรือ 14% ของประชากรทั้งหมดของสหรัฐอเมริกาที่มีอยู่ประมาณ 331.4 ล้านคน

การที่ชาวอเมริกันผิวดำเป็นชาวอเมริกันชั้น 2 นั้นเป็นเรื่องของการที่ชาวอเมริกันผิวขาวที่อพยพมาจากทวีปยุโรปซึ่งเป็นประชากรอเมริกันส่วนใหญ่ถือว่าชาวผิวดำที่เคยเป็นทาสมาก่อนเปรียบเสมือนวัวควายจึงทำการกดขี่กีดกันชาวผิวดำถึงขนาดว่าต้องแบ่งแยกการบริการสาธารณะหรือการทำงานตลอดจนที่อยู่อาศัยต้องแยกจากกัน โดยออกกฎหมายที่อยุติธรรมออกมาบังคับใช้แม้แต่การเป็นทหารทำการรบเพื่อประเทศชาติก็ยังกีดกันและแบ่งแยกระหว่างผิวในทุกสงครามที่สหรัฐอเมริกาทำการรบ ซึ่งรวมทั้งสงครามโลกทั้ง 2 ครั้งด้วย ผู้เขียนได้ค้นพบเรื่องราวที่ทหารอเมริกันรบกันเองในระหว่างประจำการอยู่ที่ประเทศอังกฤษในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ระหว่างทหารอเมริกันผิวขาวกับทหารอเมริกันผิวดำซึ่งถูกเก็บไว้เป็นความลับและพยายามเป่าเรื่องให้หายไป เรื่องมีดังนี้ครับ

เมื่อตอนสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐอเมริกาได้ตั้งหน่วยทหารบกส่งกำลังบำรุงที่ 1511 อันเป็นส่วนหนึ่งของกองบินทิ้งระเบิดที่ 8 (ตอนนั้นสหรัฐอเมริกายังไม่มีกองทัพอากาศ กำลังทางอากาศขึ้นอยู่กับกองทัพบกและกองทัพเรือ) อยู่ที่หมู่บ้านแบมเบอร์ บริดจ์ ในมณฑลแลงคาเชียร์ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะอังกฤษ ซึ่งทหารที่ประจำการที่หน่วยส่งกำลังบำรุงที่ 1511 ส่วนใหญ่จะเป็นชาวอเมริกันผิวดำแต่มีผู้บังคับบัญชาเป็นคนอเมริกันผิวขาว

ที่หมู่บ้านแบมเบอร์ บริดจ์นี้ก็มีผับชื่อ ยี โอลด์ ฮอบอินน์ (Ye Olde Hob Inn) เป็นศูนย์กลางของการสังสรรค์ของคนทั้งปวง แต่ที่ประเทศอังกฤษเขาไม่มีกฎหมายอุบาทว์แบบในสหรัฐอเมริกาที่กดขี่กีดกันชาวผิวดำถึงขนาดว่าต้องแบ่งแยกการบริการสาธารณะหรือการทำงานตลอดจนที่อยู่อาศัยต้องแยกจากกัน
คนทุกคนที่มีเงินจ่ายก็สามารถเข้ามาดื่มกินสังสรรค์ในผับได้เท่าเทียมกันทุกคน ดังนั้น ทหารของหน่วยส่งกำลังบำรุงที่ 1511 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนผิวดำก็เข้ามาดื่มกินที่ผับยี โอลด์ ฮอบอินน์เป็นประจำ ปะปนกับทหารที่ประจำหน่วยเดียวกันที่เป็นคนผิวขาวไม่กี่คนโดยไม่มีปัญหาอะไร แต่ปรากฏว่าเหล่าสารวัตรทหารที่ตั้งอยู่บริเวณใกล้เคียงนั้นเห็นว่าผิดกฎหมายของอเมริกาจึงเข้าไปทำการจับกุมทหารผิวดำข้อหาที่ว่ามากินเบียร์ในที่เดียวกับทหารผิวขาว แต่ทหารผิวดำไม่ยอมให้จับและคนอังกฤษที่อยู่ในผับก็เข้าข้างทหาร
ผิวดำจนสารวัตรทหารซึ่งมากัน 2 คน ต้องถอยกลับไปขอกำลังเสริมแล้วก็กลับมาดักซุ่มคอยจับทหาร
ผิวดำตอนออกจากผับ จึงเกิดการต่อสู้กันขึ้นทำให้พลทหารผิวดำคนหนึ่งถูกยิงตาย และมีทหารบาดเจ็บหลายคนแต่สามารถหนีกลับเข้าหน่วยที่ตั้งได้

Advertisement

ครั้นถึงเวลาเที่ยงคืนสารวัตรทหารก็ยกกำลังพร้อมปืนกลและรถหุ้มเกราะมาที่หน่วยรถบรรทุกพลาธิการที่ 1511 เพื่อจับกุมทหารผิวดำอีก จึงเกิดการยิงต่อสู้กันทั้งคืนแบบว่ายังไม่ทันรบกับข้าศึกเลยก็รบกันเอง
เสียแล้ว การสู้รบสงบลงเมื่อเวลาตีสี่ปรากฏว่าฝ่ายตั้งรับมีนายทหารคนหนึ่งและทหารผิวดำอีก 3 คน
ถูกยิงบาดเจ็บ ส่วนทางฝ่ายสารวัตรทหารถูกยิงบาดเจ็บ 1 คน ส่วนสารวัตรทหารอีก 2 คนถูกรุมซ้อมจนบาดเจ็บ

ศาลทหารตัดสินลงโทษทหารผิวดำ 32 คน โทษฐานกบฏแต่ลงโทษสถานเบาด้วยการจำคุกทหาร
คนละ 1 เดือน 2 เดือนบ้าง สำหรับคนที่โดนหนักที่สุดคือจำคุก 13 เดือน แล้วกลับมาทำหน้าที่ที่หน่วยเดิมเพราะบรรดาผู้บังคับบัญชาต่างเห็นพ้องต้องกันว่าสารวัตรทหารทำเกินกว่าเหตุจริงๆ แต่ข่าวเรื่องนี้ถูก
ปิดเงียบเพิ่งจะเปิดเผยเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สงบลงแล้ว และการกีดกันและแบ่งแยกระหว่างผิวดำกับผิวขาวในวงการทหารอเมริกันก็ยังดำเนินต่อไป จนกระทั่งประธานาธิบดีแฮรี เอส. ทรูแมน ได้ประกาศยกเลิกการกีดกันและแบ่งแยกระหว่างผิวดำกับผิวขาวในวงการทหารอเมริกันใน พ.ศ.2491 ระหว่างสงครามเกาหลีนั่นเอง จึงทำให้ทหารผิวดำมีโอกาสก้าวหน้าในอาชีพทหารได้ตั้งแต่นั้นมา เช่น พลเอกโคลิน พาวเวลล์ ผู้ได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานคณะเสนาธิการร่วม ซึ่งเป็นตำแหน่งทางทหารระดับสูงสุดในกระทรวงกลาโหมสหรัฐ ในอีก 41 ปีต่อมา คือ พ.ศ.2532

และในปัจจุบันนี้ พลเอกลอยด์ ออสติน นายทหารผิวดำก็กำลังดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในรัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ตั้งแต่ พ.ศ.2564

Advertisement

โกวิท วงศ์สุรวัฒน์

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image