ไปป์บอมบ์ ซับซ้อน การเมือง ส่งสัญญาณ ไม่เลือกตั้ง

แฟ้มภาพ

สรุปเหตุวางระเบิด 3 ครั้งในห้วงเวลาที่ผ่านมาคือ “บึ้มป่วน”

ครั้งแรก วันที่ 5 เมษายน ที่หน้ากองสลากเก่า เกิดเหตุระเบิดขึ้น เจ้าหน้าที่ไปพบครั้งแรกรายงานว่าเป็นระเบิดปิงปอง

รายงานครั้งที่สองยืนยันเป็นไปป์บอมบ์ และต่อมาก็ยืนยันว่าเป็นการวางระเบิดเพื่อสร้างสถานการณ์

ครั้งที่สอง วันที่ 15 พฤษภาคม ที่หน้าโรงละครแห่งชาติ เจ้าหน้าที่ไปพบครั้งแรกยืนยันว่าไม่ใช่ระเบิด

Advertisement

แต่เมื่อตรวจสอบที่เกิดเหตุพบ “ตัวตั้งเวลา” ทำให้ได้ข้อสรุปว่าคือไปป์บอมบ์

ทั้งสองครั้งเจ้าหน้าที่เชื่อว่ามีความสัมพันธ์กัน

ครั้งที่สาม วันที่ 22 พฤษภาคม ที่หน้าห้อง “วงษ์สุวรรณ” โซนวีไอพี ภายในโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า

รายงานครั้งแรกระบุว่าเป็นเครื่องคอมเพรสเซอร์ระเบิด แต่อีกไม่นานพบว่าคือ ไปป์บอมบ์

พบ “ตัวตั้งเวลา” และมีตะปูที่ใส่เข้าไปในท่อไปป์ กระจายทำร้ายผู้คนที่อยู่ละแวกนั้น ได้รับบาดเจ็บ 25 ราย

ระเบิดครั้งล่าสุดเชื่อว่าเกี่ยวข้องกับสองครั้งแรก

เป้าหมายคือสร้างสถานการณ์

ป่วนกรุง !

 

ในเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ให้น้ำหนักกลุ่มผู้ก่อเหตุ 2 กลุ่ม คือ กลุ่มการเมือง และกลุ่มภาคใต้

แต่ภายหลังเจ้าหน้าที่ได้ให้น้ำหนักกลุ่มการเมืองมากกว่า

กลุ่มการเมืองดังกล่าว เมื่อตรวจสอบศักยภาพที่สามารถทำได้แล้วพบว่ามีมากกว่า 1 กลุ่ม

แบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ๆ คือ กลุ่มทักษิณ ชินวัตร และกลุ่มที่ไม่เอาทักษิณ ชินวัตร

ขณะนี้มีกระแสข่าวการสอบสวน มีการเปิดเผยชื่อ “โกตี๋” ซึ่งหลบหนีหมายจับอยู่ในประเทศลาว

กลุ่มนี้เจ้าหน้าที่ขีดเส้นและจัดให้ไปอยู่ในกลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งโยงไปอีกทีก็ถึงทักษิณ ชินวัตร

อย่างไรก็ตาม หลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี บริหารประเทศมา 3 ปี กลุ่มที่ไม่เอาทักษิณ ชินวัตรก็มีความขัดแย้ง

กลุ่มที่ไม่เอาทักษิณเหล่านี้ก็มีศักยภาพในการทำเช่นนี้เหมือนกัน

กลุ่มหนึ่ง อาจมองว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการบริหารงานภายใต้ พล.อ.ประยุทธ์ ทำให้พวกเขาต้องตกอับ

อีกกลุ่มหนึ่ง ไม่พอใจการบริหารงานของ พล.อ.ประยุทธ์ เพราะทำแล้วไม่ได้ดังใจ

ทั้งการขจัดทักษิณ ชินวัตร ทั้งการปฏิรูปประเทศ รวมไปถึงการแบ่งโควต้าในอำนาจ

ความรู้สึกไม่พอใจดังกล่าวสั่งสมมาระยะหนึ่ง และเมื่อระยะเวลาครบ 3 ปี โอกาสที่จะระเบิดออกมาก็เป็นไปได้

ทั้งนี้ก็เพื่อเขย่า คสช. เขย่ารัฐบาลชุดปัจจุบัน

 

ขณะนี้เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงจะรื้อแฟ้ม เพื่อค้นหากลุ่มที่ลงมือป่วน

แน่นอนที่ กลุ่มทักษิณ ชินวัตร ต้องผ่านด่านตรวจเข้มอีกครั้ง

แต่ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ก็ต้องสอบ “ผู้ต้องสงสัย” ที่มีศักยภาพภาพ และมีโอกาสดำเนินการ

การตรวจสมุดเยี่ยม และพบรายชื่อผู้ต้องสงสัย 2 คน ซึ่งเป็นลูกน้องอดีตนายทหารระดับ พ.อ. ซึ่งเคยมีคดีระเบิด

การตรวจสอบย้อนกลับไปเรื่องจดหมายเตือนล่วงหน้า 3 วัน ส่งไปยังสถานพยาบาลใกล้เคียงโรงพยาบาลพระมงกุฎ

การตรวจกล้องวงจรปิดรอบๆ บริเวณ และเตรียมเรียกผู้ต้องสงสัย 20 คนมาสอบถาม

รวมไปถึงการสอบพยาน การสเกตซ์ภาพ และอื่นๆ

ล้วนแล้วแต่แสดงให้สังคมเห็นว่า มีความจริงจังในการไล่ล่า

คดีนี้มี พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร.เป็นหัวหน้าชุด โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจมาร่วม 201 คน

 

ผลจากกัมปนาทของเสียงไปป์บอมบ์ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ เรื่อยลงมาถึงเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติออกมาประณามผู้กระทำ

โดยเฉพาะการวางระเบิดในโรงพยาบาล ถือเป็นพฤติกรรมของคนเลว

ต่อมา พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์ในทำนองว่า ถ้าบ้านเมืองยังไม่สงบเช่นนี้ จะมีเลือกตั้งได้หรือ

เท่านั้นเอง ประเด็นการเลือกตั้งหรือไม่เลือกตั้งก็กลับมาโด่งดังอีกที

และภายหลังจาก พล.อ.ประยุทธ์เปรยถึงเรื่องนี้ บรรดาพรรคการเมืองก็ออกมาคัดค้าน

สมาชิกจากพรรคประชาธิปัตย์ ท้วงด้วยถ้อยคำอ้อมๆ ว่า “ถ้าจะเลื่อนโรดแมป นายกฯต้องมีคำอธิบายให้ชัดเจน”

สมาชิกจากพรรคเพื่อไทย คัดค้านเต็มที่ และดักคอไม่ให้นำเอาเงื่อนไขระเบิดไปเลื่อนเลือกตั้ง

ทั้งนี้เพราะข่าวสารที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งในระยะหลัง คือ ยังไม่แน่นอน

อาจจะเลือกตั้งเร็ว อาจจะเลือกตั้งตามโรดแมป หรือเลื่อนการเลือกตั้งออกไป

ทุกอย่างยังไม่แน่นอน

 

อย่างไรก็ตาม หากการระเบิดนำไปสู่การเลื่อนโรดแมป ฝ่ายที่เสียเปรียบอย่างหนักหนีไม่พ้นฝ่ายการเมือง

ทั้งนี้เพราะ โอกาสที่นักการเมืองจะได้อำนาจกลับคืนมามีเพียงการลงสมัครรับเลือกตั้ง

ถ้ายังปล่อยให้ คสช. คุมอำนาจ การได้นั่งบนเก้าอี้สำคัญคงมีโอกาสไม่มาก

ขณะที่กลุ่มบุคคลที่ไม่ใช่นักการเมือง ถือว่ามีเลือกตั้ง หรือไม่มีเลือกตั้งก็ไม่แตกต่างกันมาก

บางทีรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งอาจจะเปิดช่องทางให้ได้นั่งบนเก้าอี้แห่งอำนาจได้ง่ายกว่า

ไม่ต้องหาเสียง ไม่ต้องลงพื้นที่ไปขอคะแนนจากประชาชน

แค่ทำให้ผู้มีอำนาจพอใจก็สามารถได้อำนาจมาเป็นของตัวเอง

 

ขณะที่ไปป์บอมบ์ยังไม่รู้ว่าเป็นฝีมือของใคร แต่ไปป์บอมบ์ได้ส่งผลให้การเมืองเกิดความหวาดระแวงขึ้นแล้ว

การสั่งฝ่ายความมั่นคงตามหาต้นตอผู้ลงมือวางไปป์บอมบ์ทุกกลุ่มอย่างจริงจัง สะท้อนให้เห็นว่า กลุ่มที่มีศักยภาพแต่ละกลุ่มล้วนน่าสงสัย

ทั้งกลุ่มที่ฝ่ายความมั่นคงจัดเป็นฝ่ายทักษิณ และกลุ่มที่ฝ่ายความมั่นคงจัดว่าเป็นคนละฝ่าย

เท่ากับว่า การเมืองต่อไปกลับคืนไปสู่ความไม่แน่นอนอีกคำรบ

ไม่แน่นอน เรื่องความขัดแย้ง ไม่แน่นอนเรื่องความรุนแรง

รวมทั้งไม่มีความแน่นอนในการเลือกตั้งทั่วไปตามโรดแมปที่วางไว้

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image