มวลชน รักษ์ป่า สะท้อน ‘พลังบริสุทธิ์’ สะเทือน ‘คสช.’

ปรากฏการณ์ “ป่าแหว่ง” กำลังจะกลายเป็นประวัติศาสตร์ “หน้าใหม่” ให้กับสถานการณ์ทางสังคมของประเทศหลังรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557

จารึกไว้เลย “29 เมษายน”

จารึกไว้เลยว่ามีจุดเริ่มมาจาก 1 บ้านพักของหน่วยราชการ และ 1 เป็นบ้านพักที่รุกล้ำเข้าไปประชิดติดกับอุทยานแห่งชาติ

ถามว่าความละเอียดอ่อนของเรื่องนี้อยู่ตรงไหน

Advertisement

อยู่ที่กระบวนการทุกอย่างตั้งแต่เริ่มต้นกระทั่งมาถึงเดือนเมษายน 2561 เป็นกระบวนการอันกล่าวได้ว่าถูกต้องตาม “กฎหมาย”

แต่ถามว่า ถูกกฎหมายแล้ว “เหมาะสม” หรือไม่

น่าสนใจก็ตรงที่ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกจาก “ทำเนียบรัฐบาล” ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกจาก “ชาวบ้าน” เห็นร่วมกันอย่างมิได้นัดหมาย

Advertisement

นั่นก็คือ ไม่เหมาะสม

ทําไมจึงว่าปรากฏการณ์ “ป่าแหว่ง” มีความสำคัญ อันแตกต่างไปจากทุกการเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้อย่างเกือบจะสิ้นเชิง

คำตอบอยู่ที่ว่า เป็นปัญหา “ธรรมชาติ”

เรื่องนี้เหมือนกับกรณีทุ่งใหญ่นเรศวรเมื่อปี 2516 เหมือนกับกรณีทุ่งใหญ่นเรศวรเมื่อปี 2561 นั่นก็คือ เป็นเรื่องของการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

อาจกล่าวได้ว่าไม่เกี่ยวกับ “การเมือง”

จากพื้นฐานนี้เองได้นำไปสู่อีกคำตอบว่า สถานการณ์ “ป่าแหว่ง” ทำให้เกิดความปรองดองขึ้นภายในหมู่ “ชาวบ้าน” โดยอัตโนมัติ

เห็น “เหลือง” กับ “แดง” มาจับมือกัน

กระนั้น แม้คนที่เคลื่อนไหวผ่าน “เครือข่ายทวงคืนผืนป่าดอยสุเทพ” จะยืนยันว่ามิได้เป็นเรื่องการเมือง แต่ในที่สุดเรื่องของป่าก็เข้าสู่พรมแดนในทาง “การเมือง”

รัฐบาลและคสช.นั่นแหละที่เล่นการเมือง

ขอให้ศึกษา “ท่าที” ของ คสช.และของรัฐบาลมาตั้งแต่ต้น ไม่ว่าจะมองผ่าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ว่าจะมองผ่าน พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท

มีการตั้งคณะกรรมการ “ศึกษา” และพยายามเข้าหา “ชาวบ้าน”

และเมื่อทางคสช.และรัฐบาลไม่สามารถหาทางออกที่เหมาะสมได้ จึงได้เกิด “เครือข่าย” ขึ้นและเครือข่ายก็ค่อยๆ พัฒนากลายเป็น “ภาคี” และแสดงวัตถุประสงค์อย่างแจ่มชัด

นั่นก็คือ “ทวงคืนผืนป่า”

หากสังเกตบาง “ถ้อยคำ” อันออกมาจากทำเนียบรัฐบาล ประสานกับบาง “ถ้อยคำ” อันออกมาจากกองทัพบกและกองทัพภาคที่ 3

จะจับได้ในความหวาดระแวง

หวาดระแวงว่าจะมี “การเมือง” เบียดแทรกเข้ามา และแน่นอน เมื่อเป็นพื้นที่ภาคเหนือจะเป็นการเมืองจากไหนไปไม่ได้ต้องมาจาก “เพื่อไทย” แต่แล้วสถานการณ์ในวันที่ 29 เมษายน ก็ยืนยัน

ยืนยันว่าเป็น “พลังบริสุทธิ์” เป็นพลัง “มวลชน” รักษ์ป่า รักเชียงใหม่

พลังบริสุทธิ์จาก “ภาคีเครือข่าย” ที่ปรากฏ ณ นครเชียงใหม่ ครั้งนี้ส่งผลสะเทือนอย่างลึกซึ้งจากบทสรุปของหลายฝ่าย

นั่นก็คือ ป่ามิได้ “แหว่ง” เท่านั้น

หากที่สำคัญอย่างยิ่งยวดยังนำไปสู่การรุกเข้าไปในพื้นที่แห่ง “อำนาจ” ของ คสช.และของรัฐบาลส่งผลกระทั่งกลายเป็น “อำนาจแหว่ง”

นั่นเพราะการไม่ตัดสินใจของ “คสช.” และของ “รัฐบาล” นั่นเอง

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image