ที่มา | มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | ไพรัช วรปาณิ เนติบัณฑิตไทย(รุ่นน้อง) |
เผยแพร่ |
ปรากฏการณ์ใหม่ในกระบวนการยุติธรรมที่เป็นข่าวน่าติดตามขณะนี้…ประธานศาลฎีกาส่งตัวแทนยื่นหนังสือต่อประธาน สนช. ดักคอร่างกฎหมาย ชะลอการฟ้อง หวั่น “ขัดหลักยุติธรรม”…
ที่รัฐสภาวันก่อน ท่านชาญณรงค์ ปราณีจิตต์ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์ประจำสำนักงานประธานศาลฎีกา ตัวแทนของท่านวีระพล ตั้งสุวรรณ ประธานศาลฎีกา เข้ายื่นหนังสือต่อท่านพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. เสนอแนะเกี่ยวกับร่าง พ.ร.บ. มาตรการแทนการฟ้องคดีอาญา พ.ศ…. ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ โดยมีข้อสังเกต ดังนี้
ขณะนี้ พ.ร.บ.ดังกล่าวได้ผ่านการพิจารณาคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้วและอยู่ในระหว่างเข้าสู่การพิจารณาของ ครม.ก่อนจะส่งให้ สนช.พิจารณา โดยศาลยุติธรรมเห็นว่าร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว ขัดต่อหลักการสำคัญของรัฐธรรมนูญและหลักสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน เพราะการสั่งคุมประพฤติการกระทำกิจการบริหารสังคมหรือสาธารณประโยชน์และสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องผู้ต้องหาในคดีอาญาที่มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปีได้ โดยที่ไม่ผ่านการพิจารณาของศาลเลย และปราศจากกระบวนการพิสูจน์ความผิดของบุคคลจะส่งผลกระทบต่อการอำนวยการยุติธรรมที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ และหาก พ.ร.บ.ดังกล่าวประกาศใช้จะเป็นการตัดสิทธิของผู้เสียหาย เนื่องจากมีบทบัญญัติห้ามให้ศาลดำเนินกระบวนการพิจารณาคดีต่อไปแม้กระทั่งในกรณีที่ผู้เสียหายประสงค์จะใช้สิทธิทางศาล จึงขอให้ สนช.ช่วยพิจารณาด้วย
ในขณะเดียวกัน ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่า รัฐบาลเตรียมชง สนช.พิจารณากฎหมายชะลอการฟ้อง เนื่องจากกฎหมายฉบับนี้คิดกันมานานแล้ว ตั้งแต่สมัยนายธานินทร์ กรัยวิเชียร เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ไม่ผ่านสภา จนกระทั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้ามาเห็นว่า กระทรวงยุติธรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้เสนอกฎหมายเข้ามา รวมทั้งมีข้อเสนอแนะจากศาลยุติธรรมและสำนักงานอัยการสูงสุด ในประเด็นเดียวกัน คือการชะลอการฟ้อง สำหรับคดีลหุโทษที่ยอมความกันได้ มีโทษจำคุกไม่เกินกี่ปี แต่ต้องตกลงพร้อมใจกันทั้งผู้เสียหายและผู้กระทำความผิดโดยเจ้าหน้าที่ต้องเห็นชอบ ไม่ใช่เอาเงินไปฟาดแล้วจบ และมีเงื่อนไขให้ต้องปฏิบัติเช่นเดียวกับการรอลงอาญา แต่ไม่ต้องเข้าไปถึงศาลทำให้ไม่มีประวัติอาชญากรเพื่อให้คนที่กระทำผิดมีโอกาสไปทำอย่างอื่น ทำให้คดีไม่ล้นศาลจึงรวบรวมเป็นกฎหมายเป็นฉบับเดียวโดยใช้ฉบับกระทรวงยุติธรรมเป็นหลักให้ทุกคนส่งไปที่อัยการเพื่อพิจารณาว่าจะชะลอฟ้องหรือไม่? พร้อมกับกล่าวว่า ทราบว่าสำนักงานศาลยุติธรรมได้ยื่นเรื่องไปที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ทักท้วงให้ทุกอย่างไปจบที่ศาล เพราะศาลเป็นหน่วยงานที่สังคมไว้เนื้อเชื่อใจมากที่สุด ประกอบกับเรื่องสิทธิมนุษยชน แต่มีปัญหาเรื่องคดียืดยาว ขณะนี้ทางกฎหมายยังอยู่ที่ สนช. ยังอยู่ที่รัฐบาลแต่ไม่รู้ว่าเขาได้ยื่นหนังสือมาถึงรัฐบาลหรือไม่ หากเรื่องมาถึงตนก็จะเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาหารือว่าจะทำอย่างไรกัน
ในฐานะที่ผู้เขียนเป็นศิษย์ของกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายมาช้านาน มองว่ากฎหมายฉบับนี้มีบทบาทต่อสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานและกระบวนการยุติธรรมอย่างมีนัยสำคัญ จึงอดไม่ได้ที่จะนำเสนอเนื้อหาสาระของ พ.ร.บ. การชะลอการฟ้องดังกล่าว รวมทั้งข้อดี ข้อเสีย ของการมีการชะลอการฟ้อง ที่มาจากความคิดเห็นอันมีคุณค่าของผู้อาวุโสทางกฎหมาย มาสรุปเป็นข้อมูลเพื่อให้ผู้อ่านได้พิจารณาชั่งน้ำหนัก ความหนักเบาแห่งเหตุและผลทั้งฝ่ายเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย อย่างถูกต้องเที่ยงธรรม
นัยสำคัญของ พ.ร.บ.ฉบับนี้ คือ….
คดีความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิด ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงไม่เกิน 5 ปี หรือความผิดอื่นที่กฎหมายบัญญัติว่าให้ใช้วิธีไกล่เกลี่ยหรือชะลอการฟ้อง ถ้าผู้ต้องหาให้การรับสารภาพและขอให้ชะลอการฟ้องในชั้นพนักงานสอบสวนหรือขอชะลอการฟ้องต่อหน้าพนักงานอัยการให้พนักงานอัยการส่งเรื่องให้พนักงานคุมความประพฤติดำเนินการสืบเสาะข้อเท็จจริงต่างๆ ที่เกี่ยวกับผู้ต้องหา ประวัติและสิ่งแวดล้อมของผู้ต้องหา
เมื่อพนักงานอัยการได้พิจารณาข้อเท็จจริงที่มีอยู่ดังกล่าวแล้ว ในกรณีที่พนักงานอัยการมีความเห็นไม่สมควรชะลอการฟ้องก็ให้ดำเนินคดีต่อไป ในกรณีที่พนักงานอัยการมีความเห็นสมควรชะลอการฟ้องและปรากฏว่าผู้เสียหายได้ให้ความยินยอมแล้ว ให้พนักงานอัยการสั่งชะลอการฟ้องและในระหว่างการชะลอการฟ้อง ถ้าพนักงานอัยการเห็นว่าผู้ต้องหาจงใจไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขคุมประพฤติ หรือพฤติการณ์ที่เกี่ยวแก่การคุมประพฤติเปลี่ยนแปลงไปจนไม่อาจแก้ไขได้ อันเกิดจากความผิดของผู้ต้องหา ให้อัยการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาต่อไป
ส่วนในกรณีที่ผู้ต้องหาได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขคุมประพฤติแล้ว หรือมีเหตุขัดข้องจนไม่อาจปฏิบัติตามเงื่อนไขได้ อันมิใช่เกิดจากความผิดของผู้ต้องหา ให้พนักงานอัยการสั่งยุติการดำเนินคดีและสิทธิทำคดีอาญามาฟ้องเป็นอันระงับ…
ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าข้อดีของการชะลอการฟ้องคือ การชะลอการฟ้องเป็นการบริหารงานกระบวนการยุติธรรมแนวใหม่ โดยมุ่งให้เกิดประโยชน์แก่คุณค่าต่อสาธารณชน โดยคำนึงถึงผู้ต้องหา ผู้เสียหายที่ควรจะได้รับการเยียวยาให้อยู่ร่วมกันในสังคมได้ด้วยความสมานฉันท์ ตามนโยบายรัฐบาล อีกทั้งจะทำให้ผู้กระทำความผิดมีโอกาสเริ่มต้นชีวิตใหม่โดยไม่มีมลทินติดตัว โดยเฉพาะไม่ต้องมีประวัติอาชญากรรมไม่เกิดปัญหาครอบครัวและไม่ต้องรับวัฒนธรรมที่ไม่ดีจากเรือนจำ และมองในแง่เศรษฐศาสตร์ผู้ต้องหาไม่ต้องเสียเวลาค่าใช้จ่ายในการต่อสู้คดี หรือการวิ่งเต้นหาเงินประกันตัวในชั้นศาลอีกด้วย
นอกจากนี้ยังสามารถลดจำนวนผู้ต้องขังในเรือนจำทำให้ปัญหาคนล้นคุกลดลงไปด้วย อันเป็นปัญหาของกรมราชทัณฑ์ในปัจจุบัน ประเด็นปัญหาการชะลอการฟ้อง ถ้าศึกษาในเชิงลึกแล้วมีผลไม่ต่างกับการรอการลงอาญาหรือการรอการกำหนดโทษตามคำพิพากษาของศาล เพียงแต่ไม่ต้องขึ้นศาล ซึ่งมีผลต่อการประหยัดงบประมาณหรือทรัพยากรของกระบวนการยุติธรรมของชาติ
การชะลอการฟ้องถือได้ว่าเป็นการเพิ่มทางเลือกให้แก่กระบวนการยุติธรรมโดยไม่จำเป็นต้องเดินไปสู่ขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการยุติธรรม ทำให้ปริมาณคดีที่จะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมในชั้นพิจารณาพิพากษาของศาลลดลง ไม่เกิดปัญหาคดีล้นศาล ซึ่งเป็นที่หนักอกของศาลฎีกาเองอยู่ในขณะนี้ และที่สำคัญสุดคือ..เป็นแนวทางเบี่ยงหันเหคดีบางประเภทที่ไม่ใช่คดีใหญ่ ออกไปจากเส้นทางปริมาณคดีสำคัญๆ ที่เป็นภาระหนักของศาลอยู่แล้วให้แบ่งเบาลง
เมื่อประมวลผลดังกล่าวข้างต้นมาพอสังเขปแล้ว ย่อมต้องมาพิเคราะห์ในแง่มุมของผลเสียในการชะลอการฟ้องบ้าง…มิใช่หรือ?…
ข้อเสียในเบื้องต้นที่น่าเป็นห่วงคือ พ.ร.บ.ชะลอการฟ้องนับว่าเป็นกฎหมายใหม่ที่ยังไม่เคยนำมาใช้ในประเทศไทย ทั้งๆ ที่ในนานาอารยประเทศหลายประเทศได้ใช้แล้ว จึงยังมีข้อกังวลว่า อาจจะเป็นช่องทางให้อำนาจฝ่ายบริหารเข้ามาแทรกแซงโดยไม่เป็นธรรมหรือไม่?
ประเด็นคำถามเหล่านี้จึงยังเป็นข้อถกเถียงอยู่ในขณะนี้ เนื่องจากสังคมไทยยังไม่เคยประจักษ์ถึงผลงานมาก่อน
ประเด็นที่น่าติดตามคือ ครม.และ คสช.จะให้ความเห็นชอบหรือไม่? ต้องติดตามอย่างไม่กะพริบตาต่อไป เนื่องจากฝ่ายที่เห็นด้วย ให้เหตุผลว่า กฎหมายฉบับนี้ แม้จะเป็นการเพิ่มอำนาจให้ตำรวจและอัยการสามารถใช้ดุลพินิจสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องผู้ต้องหาในคดีอาญาที่มีอัตราโทษจำคุกสูงสุดถึง 5 ปีนั้น จะเห็นได้ว่าโดยปกติอัยการก็มีอำนาจสั่งไม่ฟ้องอยู่แล้วนั่นเอง
ดร.คณิต ณ นคร อดีตอัยการสูงสุดและประธาน คอป. สนับสนุนแนวทางให้มีกฎหมายชะลอการฟ้องโดยเห็นว่า เป็นกฎหมายรองรับการเพิ่มอำนาจให้อัยการในเรื่องการสั่งชะลอการฟ้องผู้ต้องหาที่กระทำความผิดในคดีอาญาโทษต่ำด้วยเหตุผลว่า “เพื่อให้ผู้ต้องหาคดีอาญาที่ไม่ควรถูกฟ้องเป็นจำเลย มีโอกาสกลับตัวเป็นพลเมืองดีก็เป็นได้”
ส่วนท่านพชร ยุติธรรมดำรง อดีตอัยการสูงสุดอีกท่านหนึ่งให้ความเห็นว่า “กฎหมายชะลอการฟ้องมีใช้กันแล้วในหลายประเทศและที่สำคัญ มีการกำหนดอัตราโทษขั้นสูงกำกับไว้ไม่ใช่จะชะลอได้ทุกคดีตามอำเภอใจและเป็นการพิจารณาในรูปคณะกรรมการไม่ใช่อำนาจของอัยการแต่ฝ่ายเดียว โดยจะเห็นได้ว่าแม้แต่ศาลเองยังมีข้อห้ามถึงการยื่นฎีกา ในคดีแพ่งและคดีอาญาบางคดีในปัจจุบันเหลือ 2 ศาล (เดิมมี 3 ศาล) เพื่อลดคดีค้างที่ศาลฎีกาจำนวนมาก”
อย่างไรก็ตาม แม้ พ.ร.บ.การชะลอการฟ้องฉบับนี้จะผ่านหรือไม่ก็ตาม แต่..ผู้เขียนได้ศึกษาจากสถิติคดีที่ค้างอยู่ในศาลฎีกา มีจำนวนไม่น้อย ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันว่าผู้พิพากษาศาลฎีกาในแต่ละท่านต้องทำงานกันอย่างหามรุ่งหามค่ำ เนื่องเพราะ “คนน้อยกว่างาน” ดังนั้น มาตรการชะลอการฟ้องจึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยลดคดีที่ไม่สำคัญขึ้นสู่ศาลโดยปริยาย
ท่านสมชาย สุทธิกลม อดีตอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ให้ความเห็นว่า กฎหมายชะลอการฟ้องสามารถแก้ปัญหาคดีรกศาล ซึ่งทำไม่ทันและแก้ปัญหานักโทษเต็มคุกจนไม่สามารถดูแลให้ดีได้ อีกทั้งมีผลต่อการลดค่าใช้จ่าย งบประมาณทางศาลและเรือนจำด้วย การไกล่เกลี่ยจึงเป็นการเบี่ยงคดีกระบวนการยุติธรรม กระแสหลักจึงเป็นหลักการที่ถูกต้อง
เมื่อกฎหมายดังกล่าวเพิ่มอำนาจแก่ตำรวจและอัยการแล้ว สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนอยากจะฝากไว้คือต้องดำรงตนอยู่ในกรอบแห่ง “คุณธรรม” และ “จริยธรรม” อย่างเคร่งครัด ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความชัดเจน โปร่งใสและตรวจสอบได้
มิฉะนั้น การคลอดกฎหมายชะลอฟ้องดังกล่าว อาจกลายเป็นเครื่องมือหรือช่องทางใหม่ในการแสวงหาผลประโยชน์ในทางมิชอบ ทำให้ผู้คนผิดหวังในที่สุด..จึงต้องระวัง?!
โดยสรุป หากกฎหมายนี้ได้ผ่านการพิจารณาจาก สนช.ตามที่ท่านรองนายกฯวิษณุ เครืองาม เสนอ กฎหมายชะลอการฟ้องฉบับนี้อาจจะเป็น “ยา” แก้ปัญหาคดีล้นศาลคนล้นคุก อันสอดคล้องกับเป้าหมายการปฏิรูปกฎหมายให้ทันสมัยของรัฐบาลที่มุ่งมั่นจะขับเคลื่อนประเทศชุดนี้….ก็เป็นได้…..ว่ามั้ย?!