พระมหากรุณาธิคุณ ‘การแพทย์-สาธารณสุข’ เพื่อปวงประชามีคุณภาพชีวิตที่ดี

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเงินเพื่อจัดซื้อเครื่องมือครุภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้แก่โรงพยาบาล วิทยาลัยแพทย์และพยาบาล และสถานพยาบาลต่างๆ จากทั่วประเทศ 27 แห่ง

พระมหากรุณาธิคุณ ‘การแพทย์-สาธารณสุข’ เพื่อปวงประชามีคุณภาพชีวิตที่ดี

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงห่วงใยประชาชนในทุกๆ ด้าน โดยเฉพาะเรื่อง การแพทย์ การสาธารณสุข ที่ทรงมีพระราชดำริให้มูลนิธิและหน่วยงานต่างๆ จัดทำโครงการให้ความช่วยเหลือประชาชน โดยเฉพาะในท้องถิ่นทุรกันดาร ตั้งแต่เมื่อครั้งดำรงพระอิสริยยศสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร อีกทั้งยังได้พระราชทานพระราชทรัพย์ และใส่พระทัยติดตามผลการดำเนินงานเสมอมา

ทั้งนี้ ในงาน “เฮลท์แคร์ เรียนรู้ สู้โรค 2019” จัดโดย บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) ซึ่งจัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 11 ระหว่างวันที่ 27-30 มิถุนายน เวลา 10.00-20.00 น. ที่ อิมแพค เมืองทองธานี ฮอลล์ 5 ได้จัดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” ด้านการเแพทย์ และสาธารณสุข เพื่อสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้

“มูลนิธิกาญจนบารมี” สืบสานพระราชปณิธาน

ดร.นพ.สมยศ ดีรัศมี ประธานมูลนิธิกาญจนบารมี เล่าว่า ย้อนกลับไปราว 20 ปีที่แล้ว องค์กรนี้มีฐานะเป็น “โครงการกาญจนบารมี” เกิดขึ้นจากพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อ พ.ศ.2539 ครั้งยังทรงดำรงพระอิสริยยศสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร นับเป็นหนึ่งในองค์กรที่เข้ามาช่วยขับเคลื่อนและแก้ไขปัญหาโรคมะเร็งโดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยยากไร้อย่างครบวงจร

Advertisement

“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรับเป็นประธานในการจัดสร้างศูนย์บำบัดรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งครบวงจรแห่งแรกในประเทศไทย เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องในโอกาสมหามงคลเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นปีที่ 50 “

ต่อมา ในปี พ.ศ.2540 มีพระราชดำริให้จัดตั้งเป็นมูลนิธิกาญจนบารมี เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ยากไร้และสนับสนุนส่งเสริมการป้องกันและควบคุมโรคมะเร็ง โดยเน้นการรักษาผู้ป่วยทั้งทางร่างกายและจิตใจ อีกทั้งให้ทุนการศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับโรคมะเร็ง และสนับสนุนการดำเนินงาน กิจกรรมต่างๆ และการพัฒนาบุคลากรของศูนย์มหาวชิราลงกรณธัญบุรี สถาบันมะเร็งแห่งชาติ และศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคมะเร็งส่วนภูมิภาค

ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2555 ที่ผ่านมา ทางมูลนิธิได้จัดทำโครงการคัดกรองมะเร็งเต้านมโดยเครื่องเอกซเรย์เต้านม (Mammogram) ในสตรีกลุ่มเสี่ยงและด้อยโอกาสขึ้นในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เจริญพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ เพื่อส่งเสริมการป้องกันมะเร็งเต้านมในสตรีกลุ่มเสี่ยงและด้อยโอกาส รวมทั้งช่วยเหลือผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่ยากไร้ให้ได้รับการดูแลอย่างทั่วถึง

Advertisement

“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ครั้งทรงดำรงพระอิสริยยศสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงทราบถึงความเดือดร้อนของประชาชนที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งซึ่งมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น แต่สถานพยาบาลที่ทำการรักษาไม่เพียงพอ ต้องรอรับการรักษานานทำให้ผู้ป่วยต้องทนทุกข์จากโรคร้าย พระองค์จึงทรงพระราชดำริให้จัดสร้างศูนย์วินิจฉัยบำบัดรักษาผู้ป่วยมะเร็งขึ้นที่ ตำบลบึงสนั่น อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี”

“ในการนี้ พระองค์พระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์เป็นเงินทุนในการจัดตั้งมูลนิธิ เพื่อสนับสนุนการดำเนินการของศูนย์วินิจฉัยบำบัดรักษาผู้ป่วยมะเร็ง และได้พระราชทานชื่อว่า “ศูนย์มหาวชิราลงกรณธัญบุรี สถาบันมะเร็งแห่งชาติ” ต่อมาได้ยกสถานะขึ้นเป็นโรงพยาบาลจึงเปลี่ยนชื่อเป็น “โรงพยาบาลมหาวชิราลงกรณธัญบุรี” จนปัจจุบัน

“ต่อมา ทางมูลนิธิกาญจนบารมีและกระทรวงสาธารณสุขจึงร่วมกันจัดทำโครงการคัดกรองมะเร็งเต้านมโดยเครื่องเอกซเรย์เต้านมเคลื่อนที่ เดินทางไปให้บริการวันละ 1 อำเภอ ทุกจังหวัด ทั่วประเทศ เพื่อตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมให้กับสตรีกลุ่มเสี่ยงที่อยู่ในพื้นที่ทุรกันดาร ห่างไกลจากสถานพยาบาล และมีฐานะยากจน ให้ได้รับโอกาสในการตรวจคัดกรองมะเร็งด้วยเครื่องมือที่ทันสมัยที่สุด โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น”

ในปี 2562 เข้าสู่รอบปีที่ 6 ของการออกหน่วย จากการออกหน่วยครั้งแรกจนถึงปัจจุบัน มีการคัดกรองมะเร็งเคลื่อนที่รวมทั้งสิ้น 794 ครั้ง ในพื้นที่ 654 อำเภอ (ณ วันที่ 5 มิถุนายน 2562) มีการตรวจคัดกรองมะเร็งให้กับผู้หญิงกลุ่มเสี่ยงไปแล้วกว่า 277,900 คน และเอกซเรย์เต้านมด้วยเครื่องแมมโมแกรม 16,557 ราย ส่งคนไข้ที่สงสัยว่าเป็นมะเร็งเต้านมไปตรวจวินิจฉัยโดยละเอียดเพิ่มเติม 1,834 ราย

“ปลายเดือนกรกฎาคมปีนี้ ทางมูลนิธิเตรียมเปิดตัวโครงการคัดกรองมะเร็งเต้านมโดยเครื่องเอกซเรย์เต้านมเคลื่อนที่ในสตรีกลุ่มเสี่ยงและด้อยโอกาส ในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ต่อยอดเพิ่มรถเอกซเรย์เต้านมเคลื่อนที่อีก 2 คัน คาดจะรองรับการตรวจคัดกรองผู้ป่วยด้วยเครื่องแมมโมแกรมเพิ่มขึ้นเป็นวันละ 120 คน จากปัจจุบันที่สามารถคัดกรองได้เพียงวันละ 30-40 คน เพื่อให้บริการประชาชนได้ครอบคลุมทุกพื้นที่อย่างแท้จริง” ดร.นพ.สมยศกล่าว


รพ.สมเด็จพระยุพราช ดูแลผู้ป่วยทั่วประเทศ

“…ทุกคนที่ทำงานให้กับโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช จะต้องไม่ลืมว่าโรงพยาบาลนี้กำเนิดขึ้นจากความมุ่งปรารถนาอันแรงกล้าของคนไทยทั่วราชอาณาจักร ที่ต้องการจะเห็นผู้ที่อยู่ในท้องถิ่นทุรกันดารทุกหนแห่งได้รับความเอาใจใส่ รักษาพยาบาลเป็นอย่างดี ให้ปลอดภัยจากความเจ็บไข้โดยทั่วถึงเสมอหน้ากัน…”

พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 เมื่อครั้งดำรงพระอิสริยยศสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระราชทานไว้เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน พุทธศักราช 2522

คำว่า “สมเด็จพระยุพราช” นั้นหมายถึง รัชทายาทที่พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาขึ้นเป็นตำแหน่งสมเด็จพระยุพราช โดยในปี พ.ศ.2515 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงสถาปนาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งยังดำรงพระอิสริยยศสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ ขึ้นเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร

ต่อมา เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2520 คณะรัฐมนตรีได้มีดำริที่จะจัดของขวัญขึ้นน้อมเกล้าฯถวาย เพื่อเป็นการแสดงออกซึ่งความจงรักภักดีของรัฐบาลร่วมกับบรรดาพสกนิกรชาวไทยทั้งมวล และได้มีมติเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2519 ให้จัดสร้างโรงพยาบาลขึ้นน้อมเกล้าฯถวาย

ด้วยพลังแห่งความจงรักภักดี พสกนิกรไทยทั้งประเทศพร้อมใจบริจาคที่ดิน 81 แปลง และสมทบทุนสร้างโรงพยาบาลรวมมูลค่ากว่า 155 ล้านบาท นับได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของโรงพยาบาลชุมชน 21 แห่งทั่วประเทศ


ต่อมา พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานนามโรงพยาบาลทั้งหมดนี้ว่า “โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช”

หลังการก่อสร้างโรงพยาบาลทั้ง 21 แห่ง มีพระบรมราชานุญาตให้นำเงินบริจาคและทรัพย์สินส่วนที่เหลือมาจัดตั้งเป็นมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชในวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ.2520 โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงรับเป็นองค์นายกกิตติมศักดิ์และได้เสด็จพระราชดำเนินเป็นประธานในพิธีวางศิลาฤกษ์และเปิดโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชด้วยพระองค์เองทั้ง 21 แห่ง

ต่อมา พระองค์ยังทรงใส่พระทัยติดตามกิจการและผลการดำเนินงานของโรงพยาบาลทั้ง 21 แห่งอย่างสม่ำเสมอทั้งได้มอบพระราโชบายแก่กระทรวงสาธารณสุข เพื่อใช้ในการพัฒนาโรงพยาบาลสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ.2522-2523 ตลอด 4 ทศวรรษที่ผ่านมาโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชทั้ง 21 แห่ง ไม่เพียงให้บริการรักษาประชาชนในถิ่นทุรกันดาร แต่ยังทำหน้าที่เทิดพระเกียรติเป็นโรงพยาบาลต้นแบบให้กับโรงพยาบาลชุมชนใกล้เคียง บุคลากรทุกส่วนของโรงพยาบาลสำนึกเสมอว่า โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชกำเนิดจากศรัทธาอันแรงกล้าของพสกนิกรชาวไทยทั้งประเทศ

พระราชทานเงิน 2.4 พันล้าน สานต่อพระราชปณิธานการแพทย์

หลังพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ระหว่างวันที่ 4-6 พฤษภาคม พ.ศ.2562 เสร็จสิ้นลง ต่อมาในวันที่ 7 พฤษภาคม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเงินที่ประชาชนได้ร่วมกันทูลเกล้าฯถวายในการร่วมบำเพ็ญพระราชกุศล เนื่องในงานพระราชพิธีพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทั้งหมด และเงินรายได้จากการจัดงาน อุ่นไอรัก คลายความหนาว สายน้ำแห่งรัตนโกสินทร์ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 2,407,144,487.59 บาท เพื่อจัดซื้อเครื่องมือครุภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้แก่โรงพยาบาล วิทยาลัยแพทย์และพยาบาล และสถานพยาบาลต่างๆ จากทั่วประเทศ 27 แห่ง ด้วยทรงห่วงใยสุขภาพร่างกายของประชาชน ตลอดจนประสิทธิภาพด้านการให้บริการทางการแพทย์

สร้างความปลื้มปีติยังประชาชนทุกหมู่เหล่าเพื่อสืบสานพระราชปณิธานด้านการแพทย์และการดูแลสุขภาพพสกนิกรที่ทรงห่วงใย เงินพระราชทานจำนวนดังกล่าวได้รับการแจกจ่ายให้แก่โรงพยาบาล วิทยาลัยแพทย์และพยาบาล และสถานพยาบาลต่างๆ จากทั่วประเทศจำนวน 27 แห่ง ที่ยังคงขาดแคลนและมีความจำเป็นในการให้บริการในการรักษาพยาบาลแก่ผู้ป่วย


นพ.วิชัย วิเชียรวัฒนชัย ผู้อำนวยการโรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในจำนวน 27 โรงพยาบาลที่ได้รับเงินพระราชทาน เล่าว่า

“โรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ ได้รับพระราชทานเป็นเงินกว่า 80 ล้านบาท (80,032,880 บาท) โดยเงินจำนวนนี้จะนำไปจัดซื้อเครื่องมือแพทย์ที่มีความจำเป็นและสำคัญในการที่จะนำไปดูแลและรักษาผู้ป่วยในพื้นที่ ให้เพิ่มประสิทธิภาพให้มากที่สุดเพื่อลดการส่งต่อผู้ป่วย ช่วยลดอัตราการเสียชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ที่มีต่อพสกนิกรชาวไทย และประชาชนจังหวัดนราธิวาสอันเป็นพสกนิกรของพระองค์ ในนามของแพทย์ พยาบาล และบุคลากรของโรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ รู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ ที่พระองค์มีต่อประชาชนชาวนราธิวาส แพทย์พยาบาลและบุคลากรของโรงพยาบาลนราธิวาสฯ จะสนองพระปณิธานของพระองค์ ในการที่จะดูแลประชาชนชาวนราธิวาสให้ดีที่สุดและตลอดไป” นพ.วิชัยกล่าว

นพ.วิชัย วิเชียรวัฒนชัย

นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้

 

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image