ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศช่วงบ่ายที่ศาลาสหทัยสมาคม ในพระบรมมหาราชวัง ประชาชนยังคงทยอยเดินทางเข้าสักการะพระบรมศพเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ และลงนามสมุดหลวงเพื่อแสดงความอาลัย แด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช อย่างต่อเนื่อง ซึ่งบรรยากาศโดยรวมค่อนข้างครึ้มฟ้าครึ้มฝน เย็นสบาย และไม่มีแดด เนื่องจากมีฝนตกลงมาในช่วงเวลา 14.00 น.
นางคำเภา แก้วสุรีย์ อายุ 64 ปี ชาวอ.ท่าตูม จ. สุรินทร์ กล่าวด้วยความตื้นตันว่า เมื่อทราบข่าวการสวรรคตของพระองค์ ก็ตั้งใจว่าจะมาถวายสักการะพระบรมศพของพระองค์สักครั้งหนึ่งในชีวิต จึงให้ลูกชายและลูกสะใภ้พามา โดยเดินทางมาด้วยรถประจำทางจากจ.สุรินทร์ และก็มุ่งสู่พระบรมมหาราชวังโดยตรง ซึ่งเมื่อได้กราบสักการะก็รู้สึกปีติอย่างหาที่สุดไม่ได้ และรู้สึกเป็นบุญของชีวิต เพราะพระองค์เปรียบดั่งพระพุทธเจ้าที่มีชีวิต ที่ทรงเมตตาต่อไพร่ฟ้า และประชาชน ทรงดับความทุกข์ยากของราษฎรให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
“แม้ว่าตลอดทั้งชีวิต จะไม่เคยได้รับเสด็จพระองค์ แต่เมื่อ 10 – 20 ปีที่ผ่านมา มีโอกาสรับเสด็จสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสเสด็จฯมาเปิดโครงการคืนช้างสู่ถิ่น ที่ต.กระโพธิ์ อ.ท่าตูม จ.สุรินทร์ นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดไม่ได้ และเป็นบุญในชีวิตของชาวบ้านคนหนึ่ง” นางคำเภา กล่าว
นางอรสา สิริวัฒนาพร อายุ 78 ปี ชาวกรุงเทพฯ กล่าวทั้งน้ำตาที่นองหน้าว่า ตื้นตันในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์มากที่ช่วยแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในคนกรุงเทพฯ เพราะเมื่อปี 2538 ตนเคยประสบภัยน้ำท่วมใหญ่ จนแทบหมดตัว ทรัพย์สิน บ้านช่องเสียหายแทบหมดสิ้น แต่หลังจากนั้นพระองค์ชีวิตก็ดีขึ้น ด้วยพระองค์ทรงตระหนักถึงความทุกข์ร้อนของประชาชน ได้มีโครงการเขื่อนชลประทานหลายโครงการ โดยเฉพาะเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ สามารถดับคลายความทุกข์ร้อนของประชาชนในพื้นที่กรุงเทพฯไม่ให้เกิดน้ำท่วมอีกหลายสิบปี
