เปิดให้ปชช.ถวายสักการะตั้งแต่ตี 5 สำนักพระราชวังเปลี่ยนให้เข้าทางประตูมณีนพรัตน์

เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน งานพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ดำเนินมาเป็นวันที่สิบเก้า และเปิดให้ประชาชนเข้าถวายสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เบื้องหน้าพระบรมโกศ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ตั้งแต่เวลา 08.00-21.00 น. ทุกวัน เป็นวันที่สี่

ขณะที่บรรยากาศประชาชนเข้าถวายสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เบื้องหน้าพระบรมโกศ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง พสกนิกรจากทั่วประเทศหลั่งไหลมารอต่อแถวเพื่อรอเวลาเปิดเข้าถวายสักการะที่สนามหลวง ตั้งแต่ช่วงค่ำของวันที่ 31 ตุลาคม โดยปักหลักค้างคืนที่นั่งรอภายในเต้นท์รอต่อแถวสีขาว ตรงข้ามประตูวิเศษไชยศรี และทยอยมาตั้งแต่เช้ามืดตามลำดับ ทั้งนี้ สำนักพระราชวังได้เปิดให้ประชาชนเข้าสักการะก่อนเวลาจริงตั้งแต่เวลา 05.15 น.

โดยช่วงแรกยังเปิดให้ประชาชนเข้าทางประตูวิเศษไชยศรี แม้สำนักพระราชวังได้แจ้งเปลี่ยนเส้นทางเดินเข้าไปในพระบรมมหามหาราชวัง เพื่อถวายสักการะพระบรมศพเบื้องหน้าพระบรมโกศตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนเป็นต้นไป ให้เข้าประตูมณีนพรัตน์ ซึ่งอยู่ถัดไปจากประตูวิเศษไชยศรี อยู่ฝั่งตรงข้ามสนามหลวง เลี้ยวขวาก่อนเลี้ยวซ้ายเข้าประตูทางทิศเหนือของวัดพระศรีรัตนศาสดาราม แล้วเลี้ยวซ้ายเดินตามทางพระระเบียงคดวนรอบพระระเบียงคดไปทางประตูศรีรัตนศาสดาราม ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศใต้ของวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เพื่อเข้าสู่ถนนอมรวิถี บริเวณด้านหน้าพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยมไหยสูรยพิมาน เดินตรงผ่านพระหน้าพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท เข้าสู่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท สถานที่ประดิษฐานพระบรมศพ เนื่องด้วยเปิดขายบัตรให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าชมวัดพระศรีรัตนศาสดารามเป็นวันแรก โดยเข้าทางประตูวิเศษไชยศรี พบว่านักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะทัวร์จีนค่อยๆ ทยอยเดินทางเข้าชมวัดพระศรีรัตนศาสดารามตั้งแต่ช่วงเช้า

กระทั่งเวลา 08.30 น. ได้เปิดให้พสกนิกรที่มาถวายสักการะเข้าทางประตูมณีนพรัตน์ ซึ่งต้องเดินผ่านพระระเบียงคดที่มีภาพจิตรกรรมโบราณ ภายในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ทางสำนักพระราชวังได้ตั้งรั้วไม้ เพื่อกั้นระยะห่างระหว่างแถวประชาชนกับภาพจิตรกรรมโบราณ แม้แถวประชาชนจะห่างจากภาพจิตรกรรมโบราณแค่เอื้อม แต่ก็ไม่มีประชาชนคนใดเอามือไปจับให้เกิดความเสียหาย ต่างพากันเดินชมความสวยงามและถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ขณะที่พสกนิกรที่นั่งรถวีลแชร์ ทางเจ้าหน้าที่จะให้เข็นเข้าทางประตูวิเศษไชยศรี ซึ่งจะลดระยะทางและสะดวกกว่าเข้าทางประตูมณีนพรัตน์

Advertisement

นางจันเป้ง แก้ววิกา อายุ 76 ปี ชาวจ.สระบุรี ที่มาพร้อมหลานสาวและหลานเขย เดินทางมาจากที่บ้านตั้งแต่หัวค่ำเมื่อวานนี้ เล่าว่า เมื่อครั้งที่ตัวเองยังเป็นเด็กอายุเพียงแค่ 10 ขวบ เคยตามพ่อกับแม่ไปเฝ้าฯ พระองค์ ตอนเสด็จฯ มาที่ จ.สระบุรี ตอนนั้นรู้สึกสงสัยว่าทำไมพระเจ้าอยู่หัวต้องเสด็จฯ มาในพื้นที่อันแสนกันดารขนาดนี้ บุกป่าฝ่าดงเข้าไปในไร่ที่อยู่ในป่าลึกมาก แต่พระองค์ก็ยังทรงพระดำเนินเข้าไปอย่างไม่มีย่อท้อ กระทั่งวันที่เราโตมาถึงได้รู้ว่าสิ่งที่พระองค์ทรงตรากตรำพระวรกายทั้งหมด ก็เพื่อให้เราลูกหลานชาวไทยทุกคนได้อยู่ดีกินดี

“คิดถึงพระองค์มาก ตั้งแต่วันที่พระองค์สวรรคตจนถึงวันนี้ยังร้องไห้ไม่หยุดเลย ยายจะนำหลักคำสอนและพระบรมราโชวาทเรื่องความซื่อสัตย์มาสอนลูกหลานทุกคน ให้มีความซื่อสัตย์ทั้งต่อการงาน และกับทุกคนไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัว หรือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน” นางจันเป้งกล่าว

S__4030512

S__4030513

S__4030514

S__4030515

S__4030517

S__4030518

S__4030519

S__4030578

S__4030580

S__4030581

จันเป้ง
นางจันเป้ง แก้ววิกา

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image