เมื่อสิ้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสียงร่ำไห้พสกนิกรต่างร้องระงมไปทั่วทั้งประเทศ เป็นความสูญเสียที่ไม่อาจรับความจริงได้โดยง่ายของใครหลายๆ คน
จนพาให้เหล่าพสกนิกรผู้คิดถึงพระองค์ เดินทางมุ่งหน้าไปรอบพระบรมมหาราชวังอย่างทำใจไม่ได้ เพราะอยากอยู่ใกล้ๆ พ่อเป็นครั้งสุดท้าย แม้จะทำได้เพียงแค่อยู่นอกรั้ววังก็ตาม
จึงไม่แปลกหากจะเห็นภาพประชาชนบางคนต่างระลึกความหลัง เล่าเรื่อง “พ่อ” ที่อยู่ในความทรงจำ เหมือนจะเป็นการคลายความเศร้าให้กันและกันได้ไม่น้อย
ประชุมพร บุนนาค วัย 70 ปี เผยเรื่องราวประทับใจว่า ย้อนกลับไปเมื่อ 50 กว่าปีที่แล้ว วันที่ได้เฝ้าฯรับเสด็จใกล้ที่สุด คงเป็นวันที่ได้รับพระราชทานปริญญาบัตรจากพระหัตถ์ของพระองค์ ถือเป็นความรู้สึกที่พิเศษที่สุดในชีวิต ทำให้ปริญญาบัตรที่เป็นกระดาษเพียงหนึ่งใบเป็นสิ่งมีค่าที่เก็บอยู่จนวันนี้ แต่หากจะพูดถึงความรู้สึกพิเศษที่สุด ต้องเอ่ยถึงวันทรงดนตรี ตอนเป็นนักศึกษาคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ยุคนั้นเด็กปี 1 จะถูกจัดให้อยู่แถวหน้าสุด ได้ฟังพระองค์ทรงเล่นแซกโซโฟนอยู่นานเกือบ 2 ชั่วโมง เป็นเพลงพระราชนิพนธ์ที่ไพเราะมีสัมผัส นักร้องในวันนั้นก็ร้องเพลงเพราะ ทำให้ไม่เคยลืม
“วันทรงดนตรีครั้งนั้น ไม่เพียงแต่ทรงเล่นดนตรีได้ไพเราะ แต่ยังมีพระราชอารมณ์ขัน เมื่อพระราชวงศ์ต่างไปประทับลงบนพื้นข้างๆ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ มิได้นั่งใกล้พระองค์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช มีรับสั่งล้อว่า “ไม่มีใครมาเชียร์เราเลย” เป็นการแซวลูกๆ ของพระองค์ วันนั้นเราได้เห็นพระองค์เป่าแซกโซโฟนจนเส้นพระโลหิตขึ้นที่พระศอ ตอนนั้นจึงคิดว่า เราเป็นใครกันนะ ทำไมพระองค์ทรงเล่นดนตรีให้เราฟัง แล้วพระองค์ทำอะไรบ้างนะ จากนั้นก็ติดตามทุกพระราชกรณียกิจของพระองค์ กลายเป็นผูกพันและซาบซึ้ง ยิ่งเราทำงานได้ลงพื้นที่ต่างๆ ได้เห็นแล้วว่าหลักการทรงงานของพระองค์ลึกซึ้ง มิใช่แค่ให้เพาะปลูก แต่ยังแนะนำตลาด จัดการเรื่องน้ำให้เกษตรกร ทุกอย่างครบเป็นองค์รวม เกิดเป็นความรักที่มีต่อพระองค์อย่างไม่ต้องตั้งคำถามใดอีก” ประชุมพรกล่าว
อีกหนึ่งความทรงจำอันล้ำค่าของ วรรณี วุฒิการณ์ วัย 72 ปี จาก จ.น่าน ที่ได้รำถวายต่อหน้าพระพักตร์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ก็เป็นอีกหนึ่งความทรงจำของลูกที่ลืมได้ยาก โดยเผยว่า ใน 22 ครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชเสด็จฯเยือนน่าน มีโอกาสได้ไปรับเสด็จ 2 ครั้ง ครั้งแรกตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม พระองค์เสด็จฯไปทรงเปิดอ่างน้ำที่ อ.ภูเพียง ครูได้คัดเลือกเราให้แสดงฟ้อนล่องน่าน กับโรงเรียนอื่นๆ กว่า 600 คน ให้แสดงหน้าพระพักตร์ เราต้องซ้อมล่วงหน้าเป็นเดือนหลังเลิกเรียนที่ศาลากลางจังหวัด ให้เชี่ยวชาญทั้ง 15 ท่ารำ ก่อนจะไปแสดงต่อหน้าพระพักตร์ ตอนนั้นได้อยู่ด้านหน้าเพราะเป็นคนตัวเล็ก แม้ว่าอากาศจะร้อนแต่ก็เป็นความภูมิใจ
“ความทรงจำอีกครั้งเกิดขึ้นเมื่อเราทราบว่าพระองค์จะเสด็จฯเยือนน่านอีกครั้ง วันนั้นจากขายของอยู่ก็รีบขาย แจกคนอื่นบ้าง เพราะรีบอยากไปรับเสด็จ เมื่อท่านเสด็จฯกลับ เราก็วิ่งตามไปแถมล้มลงกับพื้น ในหลวง ร.9 มีรับสั่งด้วยพระราชอารมณ์ขันว่า “สาวๆ อย่าเข้าใกล้ฉันนะ พระราชินีเขาหวง” แล้วพระองค์ก็ทรงพระสรวล เราก็ได้แต่กราบลงแล้วเก็บภาพนั้นประทับในใจ ไม่เคยลืมเลือน” วรรณีเผย
ธนัญธร ทับทอง วัย 59 ปี เล่าความทรงจำเมื่อครั้งยังเด็กที่ จ.พิจิตรว่า ตอนยังเป็นเด็กตัวเล็กๆ ได้ติดสอยห้อยตามคุณยายไปรับเสด็จ เมื่อตัวเล็กจึงได้อยู่หน้า คุณยายจึงให้นำผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กๆ วางไว้เพื่อให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงเหยียบให้เก็บเป็นที่ระลึกเพื่อความเป็นสิริมงคล จนเมื่อเติบโตขึ้นมีโอกาสได้รับเสด็จในวัดพระแก้ว เมื่อพระองค์เสด็จฯมาเปลี่ยนเครื่องทรงพระแก้วมรกต จากวันที่ดูร้อน เมฆกลับค่อยๆ ไล่ให้ร่มเย็น เมื่อพระองค์เสด็จฯถึง เรียกได้ว่าเพราะบุญบารมีของพระองค์ ทุกวันนี้ก็ยังเก็บผ้าเช็ดหน้าเล็กๆ ผืนนั้นไว้บูชาในห้องพระอยู่จนบัดนี้
อีกหนึ่งผู้ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ จอนิ โอโดเชา ชาวปกากะญอ บ้านหนองเต่า ต.แม่วิน อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ กล่าวว่า เคยมีโอกาสผูกข้อมือตามหลักพิธีของเผ่าปกากะญอเพื่อเรียกขวัญพระองค์ 2 ครั้ง เมื่อตอนที่เสด็จฯมาในพื้นที่เมื่อ 40 ปีที่แล้ว โดยอธิษฐานขอให้พระองค์มีพระชนมพรรษายืนนาน พระองค์เป็นกษัตริย์นักพัฒนา และเสด็จฯไปทั่วทุกภาคในประเทศไทย แม้จะเป็นที่ทุรกันดาร
“เมื่อก่อนที่หมู่บ้านตนก็ไม่มีน้ำ ไม่มีไฟ และไม่มีถนน แต่พระองค์เสด็จฯมาช่วยพัฒนาหมู่บ้าน จนทำให้พวกเรามีถนน มีอ่างเก็บน้ำ และมีไฟฟ้าใช้ รวมถึงโครงการพระราชดำริต่างๆ ที่ทำให้ชีวิตพวกเราดีขึ้น แม้เราจะเป็นชาวเขา แต่พระองค์ก็ยังให้ความสำคัญเสด็จฯมาเยี่ยมในพื้นที่” จอนิกล่าว
ขณะที่ ศักดิ์ดา ปัญญาหาญ อายุ 54 ปี ชาวกะเหรี่ยง ทายาทของนายคะ ปัญญาหาญ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 3 บ้านป่าละอู ต.ห้วยสัตว์ใหญ่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ บุคคลในภาพที่เคยรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เมื่อปี 2512 เปิดเผยว่า ในช่วงชีวิตของตนได้มีโอกาสรับเสด็จพระองค์ถึง 5 ครั้ง ซึ่งครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อปี 2512 พระองค์เสด็จฯมายังหมู่บ้านเป็นครั้งแรก โดยขณะนั้นตัวเองยังเด็กอาจจะยังจำความไม่ค่อยได้ แต่คุณพ่อก็ได้เล่าให้ฟังถึงความประทับใจในความไม่ถือพระองค์และเป็นกันเองของพระองค์ว่า
“พระองค์ให้คุณพ่อร่วมโต๊ะเสวยด้วย แรกๆ คุณพ่อก็เกร็งๆ และไม่กล้า ด้วยความที่พระองค์เป็นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน แต่พระองค์ทรงแสดงความเป็นกันเองอย่างไม่ถือพระองค์ โดยทรงตักข้าวในห่อของพระองค์มาใส่ในห่อของคุณพ่อ พร้อมรับสั่งว่า “ลองกินดูสิ จะได้รู้ว่าข้าวในเมืองกับข้าวในป่าต่างกันหรือไม่” นอกจากนี้ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่ตามเสด็จด้วยยังทรงปอกเปลือกส้มให้คุณพ่อลองรับประทานดู ซึ่งนับเป็นเหตุการณ์ที่คุณพ่อจดจำไม่มีวันลืม
“พระองค์มีพระมหากรุณาธิคุณต่อชาวกะเหรี่ยงอย่างมาก ซึ่งหลังจากพระองค์เสด็จฯมายังหมู่บ้าน และดำเนินโครงการสหกรณ์ห้วยสัตว์ใหญ่ ก็ได้ช่วยแก้ไขภาพลักษณ์ของชาวเขาต่อสายตาเจ้าหน้าที่ให้ไม่มองชาวเขาเป็นผู้ก่อความไม่สงบ เป็นพวกคอมมิวนิสต์อีกต่อไป รวมทั้งยังมีโครงการพัฒนาต่างๆ มีการตัดถนน ติดตั้งไฟฟ้า น้ำประปา กระจายที่ดินให้แก่ชาวบ้าน” ศักดิ์ดากล่าว
พ่อหลวงในดวงใจ