ที่มา | มติชนรายวันหน้า 23 |
---|---|
เผยแพร่ |
เป็นโอกาสที่พสกนิกรชาวไทยจะได้ติดตามพระราชกรณียกิจทั้งในและต่างประเทศของ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสมือนได้ติดตามเบื้องพระยุคลบาทอย่างใกล้ชิด ผ่านภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ที่บอกเล่าเรื่องราว แนวคิด และมุมมองของพระองค์ที่ทรงพบเห็นสิ่งต่างๆ ที่สนพระราชหฤทัย ภายใต้นิทรรศการภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ที่จัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 8 ในหัวข้อ “อยู่มานาน กาลเวลาพาสุข (Happiness that long Life Brings)” ประจำปี 2558 จัดโดยสมาคมภาพถ่ายแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์, หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร และสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม
การนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดงาน โดยมีนายอมร กิจเชวงกุล รองผู้ว่าฯกทม., นายนิติกร กรัยวิเชียร นายกสมาคมภาพถ่ายแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์, คุณหญิงวรรณา สิริวัฒนภักดี รองประธานกรรมการบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน), นายฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัทไทยเบฟฯ, นางลักขณา คุณาวิชยานนท์ ผู้อำนวยการหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร, ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เฝ้าฯรับเสด็จ ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร
โอกาสนี้ทรงบรรยายภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ตอนหนึ่งความว่า “ชื่อนิทรรศการอยู่มานาน กาลเวลาพาสุข เพราะว่าคนที่อยู่นานเป็นคนโชคดี ได้เห็นอะไรดีๆ ได้เห็นอะไรๆ เยอะแยะเต็มไปหมด รู้สึกว่าอยู่มาจนถึง 60 พรรษาได้รับความเมตตาจากใครต่อใครหลายคน ก็ทำให้สบายดี”
“อยู่มาถึงตอนนี้ ถือว่าอยู่มานาน ผู้รับราชการอย่างข้าพเจ้าก็ต้องเกษียณอายุเป็นธรรมดา ทำให้ต้องปรับตัวปรับใจอยู่บ้าง สุขภาพจะให้ดีเท่าแต่ก่อนก็เป็นไปไม่ได้ แต่กาลเวลาที่ผ่านมาก็ช่วยทำให้รู้จักคนมากขึ้น ได้เพื่อนดีๆ ได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น และได้ชิมของที่ไม่เคยมาก่อน ได้ทำงานที่คิดว่าคุ้มค่า คือทำให้ตัวเองและผู้อื่นมีความสบายมากขึ้น ความทุกข์น้อยลง สิ่งเหล่านี้ถือว่าได้มาจากกาลเวลาที่อยู่มานาน มีประสบการณ์ที่ช่วยในการรับรู้และแยกแยะสิ่งที่รับรู้ด้วยอินทรีย์ทั้ง 5 หรือ 6 และนำพาให้เกิดความสุข”
จากนั้นทรงนำภาพถ่ายฝีพระหัตถ์บางส่วนมาบรรยาย เช่น ภาพลูกเต่า ชุดที่ 1 ยังไม่มีชื่อ มีแต่หมายเลข
“เต่าในภาพเป็นเต่าหายาก ขณะนี้กำลังออกลูกอีก ส่วนเต่าในภาพจะตั้งชื่อ แต่ก็ยังคิดไม่ออก ก็เลยตั้งเป็นหมายเลข 1 2 3 4 คิดว่าเร็วๆ นี้อาจมีประกวดตั้งชื่อ แต่ตั้งไปแล้วก็ไม่รู้อีกว่าตัวไหนคือตัวไหน (พระสรวล)”
จากนั้นทรงบรรยายภาพศิลปะข้าวของกลุ่มผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว มูลนิธิชัยพัฒนา อำเภอเมือง จ.สุรินทร์
“เป็นเรื่องติดใจมานาน เวลามีเหตุด่วนเหตุภัยธรรมชาติ เช่น พายุ น้ำท่วมนา ชาวบ้านจะไปขอเมล็ดพันธุ์จากกรมการข้าว บ้างขอเมล็ดพันธุ์ไปปลูกใหม่ แต่ปลูกแล้วก็โดนถล่มอีก ก็รู้สึกหมดหวัง ตอนนั้นนึกถึงเพลงรักกับพี่ดีแน่ และร้องให้อธิบดีกรมการข้าวฟังไม่ให้หมดหวังว่า นาดีๆ ต้องใช้ข้าวปลูกพันธุ์ดี ถ้าปลูกไม่ดีก็ทำให้เสียที่นา เก็บเกี่ยวไปขายไม่ได้ราคา เสียเวล่ำเวลาเสียที่นาฟรีๆ อธิบดีก็ร้องเพลงตาม สร้างความฉงนใจแก่คนที่เกิดไม่ทัน แต่กับคนที่เกิดทันก็มีกำลังใจขึ้นมา ปัจจุบันโลกกำลังเปลี่ยนแปลง ดินฟ้าอากาศ คนต้องสู้กับฟ้า ต้องทำให้ดีที่สุด ส่วนในภาพนี้เป็นศิลปะจากข้าวที่สวยงาม”
ขณะที่ภาพศูนย์รวมพระ วัดสีสะเกด เวียงจันทน์ สปป.ลาว ทรงเล่าว่า “ที่นี่เป็นสถานที่สวยงามมาก ตัวอาคารภายหลังองค์พระ มีติดกระจกสวยงาม ใครมีโอกาสต้องแวะไปชม”
ต่อด้วยภาพสังเวยผีเสื้อสมุทรต้องถวายพระอภัยมณีและม้าลาย จ.ระยอง ตรัสว่า “ชาวบ้านแก้บนผีเสื้อสมุทร ด้วยการเอาพระอภัยมณีไปถวายมากมาย แต่ที่แปลกคือไม่ว่าเจ้าที่ไหน ทำไมต้องมีถวายม้าลาย ก็ยังหาเหตุผลไม่ได้”
ส่วนภาพใครเป็นตัวจริง ใครเป็นตัวปลอม (ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล) รับสั่งว่า “ถือว่าเป็นพระเอกของงานต้องมาให้ได้ เชิญมาให้ถ่ายรูปกับภาพ”
และภาพศูนย์เรียนรู้การพัฒนาอมก๋อย “การใช้ไม้ไผ่ยาวมากระทบกันในโลกนี้ ไม่ได้มีเพียงลาวกระทบไม้ที่ใช้ไม้ไผ่ 2 ลำแล้วเดินเข้าไป เดินไม่ดีแล้วถูกหนีบ นี่คือกะเหรี่ยงกระทบไม้ที่มีไม้ไผ่หลายไม้ ซึ่งไม่ได้เห็นกันง่ายๆ”
จากนั้นรับสั่งถึงไฮไลต์นิทรรศการในปีนี้ว่า “ปีนี้ข้าพเจ้าอายุ 60 ปี ตั้งแต่วันที่ 22 ธันวาคมปีที่แล้วใครๆ พากันให้ขนมเค้กแบบต่างๆ ถึงตอนนี้มีถึง 117 ก้อนแล้ว ในนิทรรศการนี้ผู้จัดจึงเลือกรูปเค้กหลายรูป”
ด้วยพระอารมณ์ขันจากที่ทรงบรรยายภาพฝีพระหัตถ์ ทำให้ตลอดระยะเวลามีเสียงหัวเราะจากบรรดาผู้ที่มาเฝ้าฯ เป็นระยะๆ โดยหลังจากทรงบรรยายเสร็จผู้จัดงานได้ทูลเกล้าฯ ถวายเค้กก้อนที่ 118 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงแย้มพระสรวลและทรงยกกล้องส่วนพระองค์ขึ้นฉายรูปเป็นที่ระลึก ก่อนทรงเปิดนิทรรศการภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ ประจำปี 2558 และทอดพระเนตรนิทรรศการภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ ที่ทรงบันทึกไว้ระหว่างการเสด็จฯไปยังสถานที่ต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ ในช่วงปี 2557-2558 จำนวนทั้งสิ้น 158 ภาพ แบ่งเป็น 8 กลุ่ม ได้แก่ สิงสาราสัตว์ สถาปัตยกรรม มุมมองสีสัน เค้กวันเกิด โลกกว้าง ฉลอง พืชพรรณ และผู้คน
สำหรับนิทรรศการภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ “อยู่มานาน กาลเวลามีสุข” ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เปิดให้เข้าชมระหว่างวันที่ 11 ธันวาคม 2558 ถึง 6 มีนาคม 2559 (หยุดทุกวันจันทร์) ตั้งแต่เวลา 10.00-21.00 น. และจะมีการจำหน่ายหนังสือภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ “อยู่มานาน กาลเวลามีสุข” ในราคาเล่มละ 900 บาท ณ ห้องนิทรรศการชั้น 9 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (สี่แยกปทุมวัน) และศูนย์หนังสือแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รายได้ทั้งหมดนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายโดยเสด็จพระราชกุศลตามพระราชอัธยาศัย
ในวันเดียวกัน สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯไปทรงเป็นประธานเปิดนิทรรศการ “ปิยราชกุมารี” ซึ่งเป็นนิทรรศการที่พระองค์พระราชทานพระราชานุญาตให้อัญเชิญพระฉายาลักษณ์ที่นายนิติกร กรัยวิเชียร นายกสมาคมภาพถ่ายแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์เป็นผู้ฉาย ระหว่างปี 2532-2558 จำนวน 60 องค์ โดยบางภาพไม่เคยเผยแพร่มาก่อน ณ ไลฟ์สไตล์ฮอลล์ ชั้น 2 ศูนย์การค้าสยามพารากอน เพื่อเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสฉลองพระชนมายุ 5 รอบ
ภายหลังจากเปิดงาน สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทอดพระเนตรพระฉายาลักษณ์ของพระองค์อย่างสนพระราชหฤทัย พร้อมตรัสกับผู้ถวายการติดตามว่า “นิทรรศการนี้ถือเป็นการแสดงพระฉายาลักษณ์ของเราอย่างเป็นทางการ” ก่อนเสด็จฯกลับ
นายนิติกร กรัยวิเชียร นายกสมาคมภาพถ่ายแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า ความพิเศษของนิทรรศการ “ปิยราชกุมารี” คือการรวบรวมพระฉายาลักษณ์ในอิริยาบถต่างๆ ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ให้ประชาชนชาวไทยได้ชื่นชมพระบารมีของพระองค์ผ่านพระฉายาลักษณ์ ซึ่งบางภาพฉายไว้นานแล้วแต่ยังไม่เคยเผยแพร่มาก่อน รวมถึงบางภาพที่ฉายในปีนี้ด้วยเช่นกัน
“ผมมีความประทับใจทุกภาพที่มีโอกาสได้ฉาย สำหรับภาพที่ประทับใจมากที่สุดคือ ภาพแรกที่ฉายเมื่อปี 2532 เป็นภาพขาว-ดำที่ประทับริมหน้าต่าง เพราะเป็นครั้งแรกที่ได้ฉายอย่างเป็นทางการ และเป็นภาพที่ทรงเป็นธรรมชาติมาก” นายนิติกรกล่าว
ทั้งนี้ ได้จัดพิมพ์เป็นหนังสือ “ปิยราชกุมารี” จำหน่ายในราคา 3,000 บาท จัดพิมพ์จำนวน 3,000 เล่ม ทั้งนี้จะนำรายได้ทั้งหมดโดยไม่หักค่าใช้จ่ายทูลเกล้าฯ ถวาย เพื่อทรงใช้สอยตามพระราชอัธยาศัย