เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม บรรยากาศการเข้าสักการะพระบรมศพเบื้องหน้าพระบรมโกศ ที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งดำเนินมาเป็นวันที่ 36 นั้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ประชาชนจากทั่วทุกสารทิศต่างใช้โอกาสวันหยุด ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เดินทางพร้อมครอบครัว มากราบสักการะพระบรมศพตั้งแต่ช่วงเช้าตรู่เป็นจำนวนมาก ทำให้ในบางจุดตรวจสแกนอาวุธของเจ้าหน้าที่ตำรวจก่อนเข้าสู่ภายในสนามหลวงนั้นต้องรอคิวนานกว่า 10 นาทีขึ้นไป แต่ยังได้รับการอำนวยความสะดวกจากเจ้าหน้าที่เป็นอย่างดี
ขณะที่วันนี้ เนื่องจากจะมีพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทาน เนื่องในวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ในช่วงเวลา 17.00 น. เจ้าหน้าที่จึงปิดขายบัตรเข้าชมวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เพื่อจัดเตรียมสถานที่ และให้ประชาชนเข้าสักการะทางประตูวิเศษไชยศรีแทนประตูมณีนพรัตน์ตั้งแต่ช่วงเช้า นอกจากนี้ที่หน้าประตูเทวาภิรมย์ซึ่งเป็นประตูทางออกหลังสักการะพระบรมศพ คณะบุคคลเอกชนต่างนำน้ำดื่ม อาหาร พระบรมฉายาลักษณ์ รวมทั้งเข็มกลัดมาแจกให้กับประชาชนผู้มาสักการะพระบรมศพด้วย
นางสาวเบน อายุ 30 ปี ชาวมอญซึ่งเดินทางจากประเทศพม่า เข้ามาทางแม่สอด จ.ตาก มาอาศัยย่านมีนบุรี กรุงเทพฯ เป็นเวลา 16 ปี เดินทางมาสักการะพระบรมศพพร้อมสามี และเพื่อนชาวมอญ กล่าวว่า อยู่เมืองไทยมานาน ทำให้รู้สึกทุกๆ อย่างเหมือนกับที่คนไทยคนหนึ่งจะรู้สึก และรักพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมาก เพราะสมัยก่อนตอนอยู่พม่าชีวิตลำบากมาก แต่เมื่อได้อยู่เมืองไทยก็มีอาชีพรับจ้างรีดผ้าบ้าง วันนี้จึงเดินทางออกจากบ้านตั้งแต่ตี 3 ครึ่ง เพื่อมากราบพระองค์ครั้งสุดท้าย เป็นการส่งเสด็จและแสดงความรักแด่พระองค์ จากที่เคยได้เห็นพระองค์ประกอบพระราชกรณียกิจเพียงแต่ในโทรทัศน์เท่านั้น
ด้านนางสาวศรีลา ศรีวิลัย อายุ 58 ปี จาก อ.หางดง จ.เชียงใหม่ กล่าวว่า ออกจากเชียงใหม่โดยรถไฟฟรีตั้งแต่เมื่อวาน ก่อนจะมาถึงกรุงเทพฯ ตอนสามทุ่ม เข้าพักที่วัดสัมพันธวงศ์และออกมาต่อแถวสักการะตั้งแต่ช่วงตี 3 หลังจากที่ก่อนหน้านี้หลานสาวและเพื่อนๆ นั่งเครื่องบินมาสักการะแต่ไม่สามารถเข้าไปในพระบรมมหาราชวังได้ เนื่องจากคิวยาวและไม่ทันเครื่องบินเที่ยวกลับ วันนี้จึงเป็นตัวแทนที่บ้านมาถวายสักการะ รู้สึกดีใจ ภูมิใจ ที่ได้ใกล้ชิดที่สุดสักครั้ง ส่วนตัวทำอาชีพรับจ้างทั่วไป ซึ่งก็ยึดหลักการทรงงานของพระองค์ ซึ่งเน้นขยัน อดทน มาใช้ในการทำงานทุกวัน
“ภูมิใจมากที่ได้มาถวายสักการะพระบรมศพพระองค์ ในปีก่อนๆ ทุกวันที่ 5 ธันวาคม มักจะใส่เสื้อเหลืองไปจุดเทียนชัยถวายพระพร แต่ปีนี้ไม่เหมือนกัน ก่อนจะมากรุงเทพฯ ก็ได้ทำบุญตักบาตรตั้งแต่ช่วงเช้า ระลึกถึงพระองค์ แม้ว่าวันนี้พระองค์จะจากไปแล้ว แต่ทรงประทับอยู่ในดวงใจตลอดไป” นางสาวศรีลากล่าว
นายศักดา เพชรรักษ์ อายุ 53 ปี ซึ่งเดินทางมาสักการะเป็นครั้งที่ 3 กับภรรยา นางสมร เพชรรักษ์ อายุ 56 ปี ซึ่งเดินทางมาเป็นครั้งที่ 9 แล้ว กล่าวร่วมกันว่า ดีใจที่ได้มาสักการะพระบรมศพในวันที่ 5 ธันวาคมพอดี ที่ผ่านมาก่อนพระองค์จะสวรรคตก็มักไปนั่งที่ลานพระราชบิดา ที่โรงพยาบาลศิริราช สวดมนต์ขอพรให้พระองค์เสมอ เมื่อสวรรคตแล้วก็มารอรับเคลื่อนขบวนพระบรมศพ ลงนามแสดงความอาลัยที่ศาลาสหทัยสมาคม รวมถึงมาร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี และเข้าถวายสักการะพระบรมศพเบื้องหน้าพระบรมโกศในวันแรกที่เปิด รวมทั้งมาฟังสวดพระอภิธรรมหน้าพระบรมมหาราชวังหน้าประตูวัง และแจกของ-อาหารแก่ประชาชน ทั้งหมดทำด้วยใจที่อยากจะแสดงความรักแด่พระองค์ถือเป็นความสุขที่ได้ทำเพื่อคนอื่น เหมือนที่พระองค์ทรงทำเพื่อคนไทยทุกคน และจะยึดพอเพียง ทำความดี มีเมตตาให้กับเพื่อนมนุษย์ สานต่อความดีที่พ่อสร้างไว้ให้เรา