ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการเข้ากราบถวายสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เบื้องหน้าพระบรมโกศ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง พบประชาชนจากทั่วสารทิศทยอยเดินทางมาต่อแถวอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าวันนี้ฝนจะตกตลอดทั้งวัน ทั้งนี้ สำนักพระราชวังเปิดให้เข้ากราบถวายสักการะตั้งแต่เวลา 04.50 น. จากเวลาปกติเปิดเวลา 08.00 น.
นายธีรพล คนที อายุ 76 ปี ประธานชมรมผู้สูงอายุวัดตึก อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา ที่เดินทางมาพร้อมภรรยานางวันทา และสมาชิกในชมรมผู้สูงอายุจำนวน 45 คน ด้วยรถโดยสาร 1 คัน เผยว่า ตั้งใจที่จะพาสมาชิกชมรมที่เป็นผู้สูงอายุมานานแล้ว เนื่องจากหลายคนไม่มีใครพามา และสภาพร่างกายไม่เอื้ออำนวยต่อการเดินทางมาเอง แต่ก็มีหัวใจเดียวกันที่ต้องการจะกราบพ่อหลวง จึงตัดสินใจเป็นแกนนำในการพาสมาชิกในชมรมมา โดยออกเดินทางกันมาตั้งแต่เวลา 03.00 น. ถึงท้องสนามหลวงประมาณ 04.20 น. จากนั้นต่อแถวประมาณ 6-7 ชั่วโมง จึงได้เข้าสักการะพระบรมศพ แม้จะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจากการอดนอนและการเดินทางไกล แต่ก็หายเป็นปลิดทิ้ง และเกิดรู้สึกชุ่มชื่นหัวใจเป็นอย่างมาก ที่ครั้งหนึ่งได้มีโอกาสมากราบพระองค์ ตั้งใจว่าถ้ามีโอกาสก็จะพาสมาชิกชมรมคนอื่นๆ มาอีก
“ในช่วงชีวิตนี้ ผมถือว่าโชคดีที่ได้มีโอกาสเฝ้าฯรับเสด็จพระองค์หลายครั้ง เนื่องจากเคยทำงานเป็นพนักงานการรถไฟแห่งประเทศไทย เวลาพระองค์เสด็จฯทางรถไฟ ผมก็จะได้ไปทำหน้าที่ดูแลความปลอดภัยและถวายอารักขาตามเส้นทางรถไฟ รวมทั้งยังได้มีโอกาสไปประจำการที่สถานีตันหยงมัส อ.ระแงะ จ.นราธิวาส ก็ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯพระองค์ และร่วมโต๊ะเสวยที่พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ นับเป็นความทรงจำที่มีคุณค่าแก่ชีวิตอย่างมาก” นายธีรพลกล่าว และว่า
ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ ชมรมผู้สูงอายุวัดตึกจึงได้ตั้งปณิธานกันมาตั้งแต่ 4-5 ปีที่ผ่านมา ร่วมกันทำความดีถวายเป็นพระราชกุศลเดือนละ 1 ครั้ง โดยการไปเป็นจิตอาสาทำความสะอาดและเก็บขยะในชุมชน ซึ่งแม้ว่าพระองค์จะไม่อยู่แล้ว แต่ทางชมรมก็ตั้งใจจะทำความดีต่อไปเรื่อยๆ เพื่อเป็นการสืบสานความดีของพระองค์ต่อไป
นางวันทา ภรรยา อายุ 72 ปี กล่าวว่า แม้ว่าตอนนี้พระองค์จะสวรรคตมาแล้วเกือบ 100 วัน แต่ดิฉันก็ยังทำใจไม่ได้ ยังคิดว่าพระองค์ยังอยู่กับพวกเราเสมอ เพราะตลอดช่วงชีวิตที่ผ่านมา ดิฉันทำงานที่มหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ ซึ่งใกล้กับพระบรมมหาราชวัง จึงได้มีโอกาสรับเสด็จพระองค์บ่อยครั้ง เกิดความรู้สึกผูกพันกับพระองค์อย่างมาก ซึ่งยังจำได้ดีในตอนที่พระองค์พระราชทานปริญญาบัตรที่มหาวิทยาลัยศิลปากร ดิฉันก็เป็นเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ในวันนั้น นับเป็นความทรงจำที่มีคุณค่ามาก
ด้านนางสุทธิรัตน์ จงอวยพร อายุ 50 ปี เจ้าของธุรกิจโรงพิมพ์ใน อ.พระนครศรีอยุธยา กล่าวว่า ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงเหนื่อยกับคนไทยมาก โดยเฉพาะชาวอยุธยาที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระองค์หลายโครงการ โดยเสด็จพระราชดำเนินไปที่ จ.พระนครศรีอยุธยาก็หลายครั้ง ส่วนตัวเคยมีโอกาสได้เฝ้าฯรับเสด็จถึง 2 ครั้งด้วยกัน คือที่วัดใหญ่ชัยมงคล และครั้งสุดท้ายที่ทุ่งมะขามหย่อง เมื่อปี 2555 นอกจากจะทรงช่วยเหลือในด้านต่างๆ ยังมีคำสอนที่สามารถนำมาใช้ได้ในชีวิตจริง อย่างหลักเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งตัวเองและครอบครัวน้อมนำหลักนี้มาใช้ในการดำเนินชีวิต ด้วยการปลูกผักปลูกผลไม้ อาทิ มะนาว กระเจี๊ยบ แก้วมังกร ฯลฯ เก็บไว้กินในครัวเรือน ส่วนที่เหลือก็นำมาวางขายหน้าบ้าน
“ดิฉันตั้งใจว่าต้องมากราบพระบรมศพโดยตั้งเป้าหมายขั้นต้นไว้ที่ 9 ครั้ง และวันนี้เป็นครั้งที่ 2 โดยมากับคณะชมรมผู้สูงอายุวัดตึก ส่วนครั้งแรกร่วมเดินทางมาพร้อมกับคณะชมรมคนรักในหลวง หลังจากนี้วางแผนพอเคลียร์งานที่โรงพิมพ์เสร็จแล้ว จะนั่งรถไฟกลับมาอีกเรื่อยๆ ซึ่งมาแต่ละครั้งก็ตั้งจิตอธิษฐานขอให้พระองค์เสด็จสู่สวรรคาลัย” นางสุทธิรัตน์กล่าวทั้งน้ำตาคลอเบ้า
นางพะเยาว์ ชมขุนทด อายุ 55 ปี กรรมการสมาคมไทยในโอ๊คแลนด์ ประเทศนิวซีแลนด์ และคณะชาวไทยที่อาศัยอยู่ในประเทศนิวซีแลนด์ เดินทางมากราบพระบรมศพในหลวงรัชกาลที่ 9 กล่าวว่า ตนกับเพื่อนๆ ได้รับโอกาสจากโครงการ “กลับบ้านกราบพ่อ” ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) นครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย รู้สึกดีใจที่ได้กลับมาเยือนบ้านเกิดอีกครั้ง แม้ว่าครั้งนี้จะแตกต่างกว่าทุกครั้ง เพราะต้องมากราบพระบรมศพพ่อหลวง อันเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั่วโลก อยากขอเชิญชวนคนไทยที่อยู่ในนิวซีแลนด์และนครซิดนีย์ ถ้าอยากจะมากราบพระบรมศพขอให้ติดต่อกับ ททท.นครซิดนีย์ด้วย ส่วนคำสอนที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ตนยึดถือปฏิบัติคือ ตนได้ช่วยเหลือคนไทยในต่างแดนที่เดือดร้อน เพราะเราเป็นคนไทยเหมือนกัน ต้องเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และจะทำความดีเพื่อพ่อตลอดไป
