‘เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์’ ทรงนำสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ประสบความสำเร็จพัฒนายาชีววัตถุรักษามะเร็งเต้านม

ศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ประธานสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ได้ทรงกำหนดวิสัยทัศน์ของสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ เพื่อสนองพระราชปณิธานและแนวพระราชดำริของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 ตั้งแต่เริ่มการก่อตั้งและดำรงมาจนถึงปัจจุบันคือ “การนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน”

ด้วยพระวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของ ศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ต่อปัญหาสุขอนามัยของประชาชน ทรงเล็งเห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนของประเทศที่จะต้องเร่งผลิตบุคลากรด้านงานวิจัยที่มีศักยภาพ และมีความสามารถในการคิดค้นพัฒนายาเพื่อทำให้ประเทศสามารถพึ่งพาตนเองด้านยาชีววัตถุอันจะเป็นการช่วยสร้างความมั่นคงทางยาและลดความสูญเสียทางเศรษฐกิจของประเทศอีกทางหนึ่ง จึงทรงแสวงหาความร่วมมือจากคณาจารย์ของสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT) แห่งสหรัฐอเมริกา เพื่อทรงวางนโยบายเพิ่มขีดความสามารถในการพึ่งพาตนเองให้ประเทศ ได้แก่ การวิจัยและการพัฒนานักวิจัยซึ่งเป็นรากฐานที่สำคัญที่สุด

กว่าทศวรรษของการทุ่มเท และพระวิริยะอุตสาหะในการนำวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เพื่อการพัฒนาบุคลากรด้านงานวิจัย เมื่อปี พ.ศ.2552 ได้พระราชทานพระนโยบายให้จัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนายาชีววัตถุขึ้นที่สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ และทรงให้สถาบันบัณฑิตศึกษาจุฬาภรณ์ ซึ่งได้ทรงตั้งขึ้นเช่นกัน เร่งพัฒนานักวิจัยระดับปริญญาโท-เอก เพื่อตอบสนองความต้องการของประเทศ

Advertisement

นอกจากนี้ ยังได้เสด็จนำนักวิจัยของสถาบันและผู้บริหารอาวุโสของหน่วยงานที่เสนอให้การสนับสนุน ในขณะนั้น ไปดูงานทางวิชาการ ณ สถาบัน MIT และบริษัทผลิตยาชีววัตถุชั้นนำในต่างประเทศ ที่สาธารณรัฐอินเดีย และสหรัฐอเมริกาด้วย เพื่อเป็นแนวทางที่จะได้นำมาปรับใช้ในศูนย์วิจัยและพัฒนายาชีววัตถุ ณ สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์


เป็นข่าวที่น่ายินดีของประชาชนชาวไทยอย่างยิ่งที่ขณะนี้ นักวิจัยของศูนย์วิจัยและพัฒนายาชีววัตถุ สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ภายใต้การนำของ ศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ได้ประสบความสำเร็จในการพัฒนายาชีววัตถุซึ่งเป็นโมโนโคลนอล แอนติบอดี้ (Monoclonal Antibody) ชนิดแรก ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการรักษาโรคมะเร็งเต้านม มีชื่อว่า Trastuzumab โดยเริ่มตั้งแต่การวิจัย การตัดต่อดีเอ็นเอและนำไปพัฒนาเซลล์ต้นแบบจากเซลล์เพียง 1 เซลล์ ควบคู่ไปกับการตรวจสอบและควบคุมคุณภาพตามมาตรฐานสากลในทุกขั้นตอน จนกระทั่งสามารถผลิตเป็นยาได้สำเร็จในปริมาณที่สูงพอที่จะนำไปพัฒนาตามกระบวนการในระดับอุตสาหกรรม

Advertisement

ความสำเร็จครั้งนี้ นับเป็นนวัตกรรมด้านยาชีววัตถุที่แท้จริงชิ้นแรก และครั้งแรกที่คิดและดำเนินการโดยนักวิจัยไทยในประเทศไทย โดยไม่ต้องอาศัยการซื้อ หรือการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากต่างประเทศ จึงเป็นที่ประจักษ์ชัดว่าการดำเนินงานของสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ในการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนนั้น ประสบความสำเร็จและสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ.2560-2579) ของรัฐบาล ที่มุ่งเน้นให้ประเทศไทยสามารถสร้างผลิตภัณฑ์จากงานวิจัยเพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้า ส่งผลให้เศรษฐกิจของชาติพัฒนาอย่างมั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืน และเพื่อการพัฒนาศักยภาพและกำลังคนของประเทศตามยุทธศาสตร์ Thailand 4.0 ได้อย่างเป็นรูปธรรม

จากความสำเร็จในงานวิจัยและพัฒนากระบวนการดังกล่าว สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ พร้อมที่จะขยายปริมาณการผลิตไปสู่ระดับอุตสาหกรรม โดยจะร่วมมือกับโรงงานต้นแบบผลิตยาชีววัตถุแห่งชาติ (National Biopharmaceutical Facility, NBF) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ซึ่งมีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานในระดับอุตสาหกรรม และได้รับการรับรองมาตรฐาน Good Manufacturing Practice (GMP) โดยนักวิจัยจากทั้งสองสถาบัน จะร่วมกันพัฒนาและผลิตยาชีววัตถุนี้ได้อย่างมีคุณภาพและได้มาตรฐานสากล ซึ่งจะสามารถนำไปสู่การใช้ประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ เป็นผลให้ผู้ป่วยมะเร็งบางชนิด โดยเฉพาะมะเร็งเต้านมได้มีโอกาสเข้าถึงยาได้มากขึ้น

ความสำเร็จซึ่งเกิดจากความร่วมมือกันของทั้งสองหน่วยงานสำเร็จลุล่วงได้เป็นผลสืบเนื่องจากแนวพระดำริ พระวิสัยทัศน์ตลอดจนการอุทิศพระองค์เพื่อประชาชนของ ศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เจ้าฟ้านักวิทยาศาสตร์ของไทย ซึ่งทรงเป็นผู้ที่ได้ทรงเล็งเห็นความสำคัญ ทรงริเริ่ม และทรงวางรากฐานการพัฒนายาชีววัตถุ เพื่อความมั่นคงทางด้านยาของประเทศและประโยชน์สุขของปวงชนชาวไทยอย่างแท้จริง มาเป็นเวลานานนับกว่าสิบปี

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image