‘ก้าวไกล’ ปัดขวาง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แค่ขอให้ตรงจุดคุมเคลื่อนย้ายคน

“ก้าวไกล” ปัดขวาง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ชี้แค่ขอให้ใช้ตรงจุด คุมเคลื่อนย้ายคน-ประชากร แก้โควิด-19 ย้ำ ขออย่าปิดกั้นการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร ปชช.

เมื่อวันที่ 25 มีนาคม นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร โฆษกพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีมีการวิพากษ์วิจารณ์แถลงการณ์พรรคก้าวไกลต่อ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่รัฐบาลประกาศใช้เพื่อควบคุมโรคโควิด-19 ว่า กระแสข่าวที่ระบุว่าเราไปห้ามการประกาศใช้ พ.ร.ก.บริหารราชการฯ นั้นไม่จริง จุดประสงค์ที่เราสื่อสารไปคือการใช้ พ.ร.ก.บริหารราชการฯ ของรัฐบาล ต้องใช้ให้ตรงจุดในการแก้ปัญหาโรคโควิด-19 อย่างแท้จริง เพราะเรื่องนี้สะท้อนว่าการแก้ปัญหาของรัฐบาลที่ผ่านมาขาดประสิทธิภาพ ไม่ใช่เพราะกฎหมายอ่อนเกินไป มีข้อจำกัดทางกฎหมาย หรืออำนาจรัฐมนตรีที่อ่อนเกินไป เพราะมีกฎหมายหลาย เช่น พ.ร.บ.ควบคุมโรคติดต่อ ที่เพียงพอที่จะควบคุมได้อยู่แล้ว แต่รัฐบาลดูเบาและประเมินสถานการณ์ต่ำมาโดยตลอด ตั้งแต่ที่บอกว่าโรคไวรัสโครานาเป็นโรคไข้หวัดชนิดหนึ่ง การประกาศยกเลิก Visa on Arrival ที่ช้าเกินไป ไม่มีมาตรการควบคุมคนที่มาจากประเทศกลุ่มเสี่ยง เป็นต้น

นายวิโรจน์กล่าวอีกว่า นอกจากนั้นการสื่อสารของรัฐบาลขาดประสิทธิภาพ โดยเฉพาะวันที่ผู้ว่าฯ กทม. ประกาศปิดห้างในพื้นที่ กทม. แต่โฆษกรัฐบาลออกมาบอกว่าไม่ปิด เรื่องการสื่อสารเพื่อสร้างความเชื่อมั่นมีปัญหา การคิดแก้ปัญหาเป็นแบบช็อตต่อช็อต ไม่ได้คิดถึงผลกระทบที่จะตามมา ไม่ได้มองฉากทัศน์ของเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น การสั่งหยุดกิจกรรมต่างๆ ไม่ได้คิดถึงประชากรแฝงใน กทม. ที่ไม่มีงานทำก็ต้องกลับบ้าน เมื่อเกิดเหตุหน้าสิ่วหน้าขวานก็ต้องอยากกลับภูมิลำเนาอยู่แล้ว ส่งผลให้ตัวเลขการติดเชื้อในต่างจังหวัดเพิ่มขึ้น เรื่องนี้ไม่ใช่รัฐบาลไม่มีอำนาจ ตามกฎหมาย หรือกฎหมายไม่มีประสิทธิภาพ แต่เกิดขึ้นเพราะรัฐบาลประเมินสถานการณ์ต่ำเกินไป

นายวิโรจน์กล่าวอีกว่า วันนี้ พ.ร.ก.บริหารราชการฯ เป็นสิ่งจำเป็น แต่รัฐบาลต้องเปลี่ยนมุมมองต่อสถานการณ์ปัญหา และให้ความจริงจังกับปัญหาให้มากขึ้น ลำพังแค่มี พ.ร.ก. แต่วิธีแก้ปัญหายังเป็นเหมือนเดิม หรือไม่เคยคิดว่าตัวเองผิดพลาด และถอดบทเรียนที่ผ่านมา ถึงมี พ.ร.ก.ก็อาจจะแก้ปัญหาไม่ได้ เพราะปัญหาอยู่ที่การบริหารจัดการ ที่ต้องเข้มงวดขึ้น ประเด็นต่อมาคือตัว พ.ร.ก.ให้อำนาจกว้างขวางจนประชาชนอาจถูกละเมิดสิทธิเสรีภาพเกินควร ถ้ารูปแบบการใช้ พ.ร.ก. ไม่เฉพาะเจาะจงเฉพาะการแก้ปัญหาโรคโควิด-19 เพราะเจ้าหน้าที่ไม่ต้องรับผิดชอบทั้งทางแพ่งและอาญา ถ้ากรอบความคิดของรัฐบาลไม่เปลี่ยน แต่กฎหมายให้อำนาจอย่างมากโดยไม่รับผิดชอบ ถ้าวิธีการแก้ปัญหาผิดภายใต้อำนาจที่มากจะส่งผลเสียมากกว่า

Advertisement

“อยากให้ พ.ร.ก.บริหารราชการฯ ควบคุมการเคลื่อนย้ายคน เคลื่อนย้ายประชากรเท่านั้น เราวิงวอนว่าอย่าใช้ พ.ร.ก. ในการปิดกั้นการรับรู้ข่าวสารของประชาชน อย่าใช้ พ.ร.ก. ในการทำให้ประชาชนไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลที่เขาควรรู้ได้ และเราไม่ได้ขัดขวางการใช้ พ.ร.ก.เลย” นายวิโรจน์กล่าว

เมื่อถามถึงกรณีนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคเพื่อไทย (พท.) ส่งหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ตรวจสอบสนามมวยลุมพินี ที่ไม่ให้ความร่วมมือในการงดจัดการแข่งขันจนเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งเจ้าของสนามมวยคือกองทัพบก ว่า กรณีสนามมวยเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว ถ้าฟื้นฝอยหาตะเข็บก็อาจไม่มีประโยชน์ แต่จะไม่พูดถึงเลยก็ไม่ได้ เพราะเราจะลืมเลยว่าที่มาของการแพร่ระบาดคืออะไร ซึ่งเราสามารถร้องขอความร่วมมือจากกองทัพบกในหลายมิติ ในฐานะที่ซุปเปอร์สเปรดเดอร์ มาจากสนามมวยลุมพินี รามอินทรา พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. แทนที่จะไปฉีดน้ำยาล้างเมือง อยากให้ปรึกษากับกรมควบคุมโรคว่าเรื่องนี้ได้ผลจริงหรือไม่ หรือยินดีจะโอนงบจัดซื้อยุทโธปกรณ์ หรืองบประมาณในการเกณฑ์ทหาร มาช่วยโรคโควิด-19 ดีหรือไม่ ซึ่งเรื่องการเกณฑ์ทหารใช้การรับสมัคร เพื่อคงสภาพกองทัพจะเป็นเรื่องดีกว่า

“ถ้าต้องเรียกเกณฑ์กำลังพล 1 แสนนาย โอกาสการระบาดในค่ายทหาร ที่เราเชื่อว่าน่าจะปลอดภัยสูงน่าจะไม่ปลอดภัยแล้ว การเกณฑ์ทหารจึงไม่จำเป็นและน่าจะมีความเสี่ยงมากกว่า วันนี้กลุ่มไอซิสยังประกาศหยุดก่อการร้าย เพราะวันนี้เรื่องความมั่นคงไม่ใช่เรื่องการทหารแล้ว แต่เรื่องความมั่นคงอยู่ที่การสาธารณสุข ถ้าอยากรับผิดชอบกรณีสนามมวย ขอให้โอนงบประมาณมาช่วยตรงนี้ดีกว่า อีกทั้งการใช้ค่ายทหาร มาเป็นโรงพยาบาลสนาม น่าจะมีความพร้อมมากที่สุด” นายวิโรจน์กล่าว

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image