ผู้ว่าประจวบฯห่วงเจ้าหน้าที่กู้ชีพกู้ภัยเสี่ยงปฏิบัติหน้าที่ช่วงโควิด-19 ระบาดหนัก
วันที่ 1 เมษายน นายพัลลภ สิงหเสนี ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เปิดเผยว่า ขณะนี้มีรายงานพบผู้ป่วยติดเชื้อรายที่ 14 เป็นชายชาวเบลเยียม อายุ 57 ปี เดินทางมาท่องเที่ยวที่หัวหิน นอนรักษาตัวอยู่ที่ รพ.กรุงเทพฯ-หัวหิน สำหรับภาพรวมมีผู้ป่วยติดเชื้อที่รักษาหายแล้วมี 3 ราย เหลือที่ยังอยู่ระหว่างการรักษา 10 ราย ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ ส่วนคนไทยที่ติดเชื้อมีประวัติสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่ติดเชื้อก่อนหน้า ยังไม่มีการระบาดในพื้นที่ ขณะที่มีการหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการพิจารณาเพิ่มความเข้มข้นมาตรการเพิ่มเติมเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 โดยอาจจะมีการขยายเวลาปิดสถานที่เสี่ยงเพิ่ม หรืออาจจำกัดเวลาจำหน่ายของร้านสะดวกซื้อ
“จากกรณีชาว จ.นราธิวาส อายุ 57 ปี เสียชีวิตบนรถไฟสายใต้ก่อนถึงสถานีรถไฟทับสะแก ต่อมาตรวจพบว่าติดเชื้อโควิด-19 เป็นผู้ติดเชื้อรายที่ 13 เป็นผู้เสียชีวิตรายแรกที่พบในจังหวัด จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการตามมาตรการด้านสาธารณสุขอย่างเข้มงวด มีการทำลายเชื้อตามแนวทางที่กำหนด พร้อมให้เจ้าหน้าที่กู้ภัยที่เป็นกลุ่มเสี่ยงตรวจหาเชื้อและกักตัวดูอาการ 14 วัน ซึ่งต่อไปหน่วยงานด้านสาธารณสุข จะต้องกำหนดมาตรการที่ชัดเจนในการทำหน้าที่ของหน่วยกู้ชีพและกู้ภัยที่เป็นจิตอาสา โดยเฉพาะการเข้าช่วยเหลือผู้ประสบอุบัติเหตุบนท้องถนนที่อาจมีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต เนื่องจากไม่ทราบว่าจะมีใครติดเชื้อหรือไม่ ดังนั้นจากนี้ไปจะต้องมีแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนของเจ้าหน้าที่มูลนิธิกู้ภัย เพื่อเพิ่มความระมัดระวังและลดความเสี่ยงในช่วงที่มีการะบาดของไวรัสโควิด-19 ” นายพัลลภกล่าว
ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ กล่าวอีกว่า ได้สั่งการให้ตรวจสอบชาวต่างชาติที่อยู่ในพื้นที่ โดยขอความร่วมมือให้ตรวจหาเชื้อ สำหรับชาวต่างชาติที่จะเดินทางเข้ามาเพิ่มเติมจะต้องขอดูใบรับรองแพทย์ ขณะที่คนไทยที่จะเดินทางเข้ามาทั้งจากพื้นที่เสี่ยงในประเทศ หรือมาจากต่างประเทศ จังหวัดมีมาตรการติดตามถึงระดับหมู่บ้าน ข้อมูลในปัจจุบันมีคนไทยที่เดินทางกลับมาจากการประกอบพิธีทางศาสนาที่อินโดนีเซีย 7 คน กลับมาจากมาเลเซีย 24 คน มีการจัดทีมเจ้าหน้าที่ออกสำรวจติดตามอาการอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้กระทรวงมหาดไทยได้จัดสรรหน้ากากอนามัยส่งให้กับจังหวัดแล้ว 1 หมื่นชิ้น จากโควต้าที่จะได้รับทั้งหมด 35,000 ชิ้น โดยจะนำไปแจกจ่ายให้แก่บุคลากรเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานและประชาชนกลุ่มเสี่ยงต่อไป
