เปิดไทม์ไลน์ ‘ทหารอียิปต์’ 27 คน ออกไปห้างแหลมทอง อีก 4 คน เหมาแท็กซี่ไปเซ็นทรัลระยอง

เปิดไทม์ไลน์ “ทหารอียิปต์” 27 คน ออกไปห้างแหลมทอง อีก 4 คน เหมาแท็กซี่ไปเซ็นทรัลระยอง

เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)(ศบค.) เปิดเผยระหว่างแถลงสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 ว่า วันนี้ที่ประเทศไทยพบผู้ป่วยยืนยันรายใหม่เพิ่ม 7 ราย โดยทั้งหมดไม่ใช่การติดเชื้อภายในประเทศ แต่ประเด็นที่น่าสนใจคือ การรายงานประเด็นชาวต่างประเทศที่เดินทางเข้ามาในประเทศ คือ ทหารอียิปต์ และครอบครัวคณะทูตจากประเทศซูดาน

นพ.ทวีศิลป์กล่าวว่า จากการให้เวลาทีมควบคุมโรคภายใน 24 ชั่วโมง ในการรวบรวมข้อมูลที่ถูกต้อง แบ่งเป็น กรณีแรก เป็นทหารจากประเทศอียิปต์ มีไทม์ไลน์ ดังนี้

1.ทางสาธารณสุข จ.ระยอง ได้รับแจ้งทางไลน์ว่า จะมีช่องทางด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศโดยสนามบินอู่ตะเภา จะมีเที่ยวบินของบริษัท การบินไทย เที่ยวบินที่ EGY1245 และ EGY1216 ซึ่งเป็นเที่ยวบินทางทหาร มีกัปตัน ลูกเรือ รวมทั้งสิ้น 31 คน มีประวัติเดินทางมาจากประเทศอียิปต์ ไปยังสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม และเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม เดินทางจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ไปยังประเทศ ปากีสถาน ต่อมาวันที่ 8 กรกฎาคม เดินทางจากปากีสถาน มาถึงประเทศไทย และลงจอดที่ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา เวลา 19.00 น. เข้าพักในโรงแรงดีวารี (Dvaree) อ.เมือง จ.ระยอง ในเวลา 23.00 น. เนื่องจากได้จองห้องพักที่เป็นบริษัทสายการบินภาคพื้น โดยสถานทูตเป็นผู้เลือกจองการเข้าพักระหว่างวันที่ 8-11 กรกฎาคม โดยมีภารกิจทางทหาร ทุกคนเข้าพักเป็นคู่ แต่มีกัปตันนอนแยกเพียง 1 ห้อง

Advertisement

2.เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม เวลา 05.30 น. เดินทางออกจากโรงแรมเพื่อบินไปทำภารกิจทางทหาร/เติมน้ำมัน ที่เมืองเฉินตู ประเทศจีน และบินกลับมายังประเทศไทย ถึงสนามบินอู่ตะเภา เมื่อเวลา 23.00 น. ของวันเดียวกัน และเดินทางกลับไปยังโรงแรมที่พัก ในเวลา 02.00 น. ของวันที่ 10 กรกฎาคม ต่อมาเวลา 11.20 น. ลูกเรือจำนวนหนึ่งเดินทางออกจากที่พักไปยังห้างสรรพสินค้า 2 แห่ง ใน อ.เมือง จ.ระยอง ได้แก่ 1.ห้างแหลมทอง และ 2.เซ็นทรัลระยอง

3.เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม เดินทางกลับอียิปต์ เวลา 11.00 น.

“ทางทีมสอบสวนโรคของสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ระยอง ร่วมกับทีมสอบสวนโรคของอำเภอเมืองระยอง พร้อมด้วยตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ตำรวจภูธร จ.ระยอง ร่วมกันติดตามประเมินผู้เดินทางจากประเทศอียิปต์ เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม ตามที่ปรากฏในคลิปที่เป็นข่าวโดยทำการเข้าตรวจที่โรงแรม และได้เห็นภาพของการสนทนาเพื่อขอเข้าตรวจ โดยใช้เวลาพอสมควรมีความยุ่งยากในการเข้าตรวจ แต่ที่สุดแล้ว ก็ใช้ความสามารถของทางทีมประสานเข้าไปและได้ผลตรวจมา ผลของการสอบสวนเพิ่มเติม เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม ภายหลังจากการแถลงข่าวของ ศบค. พบว่าข้อมูลจากภาพกล้องวงจรปิดของโรงแรม พบลูกเรือร้อยละ 10 หรือประมาณ 3 คน จาก 30 คน สวมหน้ากากอนามัยขณะออกนอกเคหสถาน แต่ที่เหลือส่วนใหญ่พกหน้ากากอนามัย แต่ไม่ได้สวม” โฆษก ศบค.กล่าว

นพ.ทวีศิลป์กล่าวว่า เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม ลูกเรือรวม 27 คน รวมผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อ ได้เดินเท้าเข้าไปเที่ยวและซื้อสินค้าที่ห้างสรรพสินค้าแหลมทอง ใช้เวลาตั้งแต่ 11.25 น. และเดินทางกลับมายังโรงแรมเวลา 14.56 น. โดยเป็นเวลาที่สำคัญ ที่เชื่อมโยงกับการใช้แอพพลิเคชั่นไทยชนะ โดยผู้ติดเชื้อสวมหน้ากากอนามัยขณะออกไปนอกเคหสถาน และนอกจากนี้ ลูกเรืออีก 4 คน ได้เหมารถแท็กซี่ไปยังห้างสรรพสินค้า เซ็นทรัลระยอง ในช่วงเวลา 14.30 น. และเดินทางกลับโรงแรมเมื่อเวลา 18.00 น.

“โดยสรุปแล้ว มีสองขณะที่เดินทางไปนอกพื้นที่ โดยมีการเรียกรถแท็กซี่คันเดิมให้ไปรับ โดยทางทีมสอบสวนโรคได้ติดต่อกับคนขับรถแท็กซี่แล้ว ยืนยันว่าผู้ติดเชื้อไม่ใช่ผู้โดยสาร 1 ใน 4 คน ที่ไปรับ-ไปส่ง ในกรณีนี้ได้แบ่งกลุ่มผู้มีความเสี่ยงสูง จำนวน 9 คน จำแนกตามสถานที่สัมผัส ดังนี้ กลุ่มเสี่ยงที่ 1 โรงแรมดีวารี จำนวน 7 คน เป็น ผู้จัดการ 2 คน พนักงานขาย 1 คน และแม่บ้านทำความสะอาด 4 คน โดยทำงานประจำอยู่ในชั้นที่พบผู้ติดเชื้อ คือ ชั้นที่ 7และ 8 ของโรงแรม ทางนี้ไม่มีอาการของระบบทางเดินหายใจ แต่ทางโรงแรมได้ให้หยุดงานเป็นเวลา 14 วัน โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 13-27 กรกฎาคม 2563 โดยให้แยกกับตนเองอยู่ที่โรงแรม ปลายเพ ต.ท่าประดู่ อ.เมือง จ.ระยอง กลุ่มเสี่ยงที่ 2 ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา ได้แก่ พนักงานขับรถตู้รับ-ส่งไปยังโรงแรม 2 ราย กลุ่มผู้สัมผัสที่มีความเสี่ยงต่ำ 9 คน คือทีมสอบสวนโรค และทีมตรวจคนเข้าเมือง จ.ระยอง ซึ่งจะต้องถูกดูแลด้วย” นพ.ทวีศิลป์กล่าว

โฆษก ศบค.กล่าวต่อไปว่า จะมีการทำมาตรการเพิ่มเติมโดยจะเข้าไปยังพื้นที่โรงแรมเพื่อประเมินการใช้แอพพ์ ไทยชนะ มีการตั้งจุดคัดกรองไปจนถึงการจัดชุดอาหาร โดยทีมสอบสวนโรคประจำจังหวัดได้เก็บตัวอย่างเสมหะหลังโพรงจมูก และช่องคอของลูกเรือทุกคน

“จะเห็นได้จากชุดข้อมูลว่ามีความยุ่งยากอยู่ 2-3 ประเด็น คือ 1.คณะเดินทางได้รับการขออนุญาตมาจากต้นทาง โดยเป็นทางสถานทูตขออนุญาตมา ซึ่งนำมาสู่การขออนุญาตไปยังกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งมีการหารือไปยังทหารอากาศ ซึ่งได้รับการตอบรับมา เนื่องจากกรณีเช่นนี้เกิดขึ้นมาหลายเที่ยวบินแล้ว เป็นการปฏิบัติภารกิจตามปกติ และมีการอนุญาตให้เข้ามา ซึ่งเป็นไปตามข้อกำหนด (5) ผู้ควบคุมยานพาหนะ หรือเจ้าหน้าที่ประจำยานพาหนะ ซึ่งจำเป็นต้องเดินทางเข้ามาตามภารกิจ และมีกำหนดเวลาเดินทางเข้าออกราชอาณาจักรชัดเจน ตามประกาศฉบับที่ 7 พ.ศ.2563 มาตรการการป้องกันโรค” นพ.ทวีศิลป์กล่าว

โฆษก ศบค.กล่าวอีกว่า ในมาตรการเข้าประเทศนั้น ได้ทำตามข้อมาตรการ

“ซึ่งในข้อหนึ่ง คือ ไม่ต้องให้ตรวจ thought swap แต่มีการรายงานว่า มีการตรวจมาจากประเทศต้นทาง และเดินทางเข้ามา อย่างไรก็ตาม พอเราทราบเรื่องนี้ในพื้นที่ และขอชมในพื้นที่คือ ทางทีมงานทั้งทางกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และฝ่ายความมั่นคง รับทราบว่าพบผู้ที่เดินทางมาจากประเทศอียิปต์ 31 คน และออกนอกโรงแรมไป ทางทีมสาธารณสุขใช้ความสามารถทุกอย่างในการเข้าไปเจรจาและขอตรวจหาเชื้อ ในขั้นแรกได้รับการปฏิเสธ จึงมีการเจรจาพักใหญ่ และประสานไปยังสถานทูตอียิปต์ จนได้รับความร่วมมือและผลของการตรวจในครั้งแรก จำนวน 30 คน ผลเป็นลบไม่พบเชื้อ และมี 1 คน ยังกำกวม จึงมีการตรวจใหม่และผลออกมาในวันที่เขาเดินทางกลับออกไปแล้ว หลังจาก นี้จะต้องมีการหาข้อสรุปเพื่อปรับมาตรการต่อไป” นพ.ทวีศิลป์กล่าว

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า กรณีที่ทหารอียิปต์เดินทางออกจากโรงแรมที่พักใน จ.ระยอง ไปยังห้างสรรพสินค้า 2 แห่ง ก่อนตรวจพบติดเชื้อโควิด-19 จนทำให้ประชาชนกังวลเกี่ยวกับการระบาดในพื้นที่นั้น ศบค.จะเป็นผู้รับผิดชอบในกรณีนี้ และขออภัยประชาชนในนาม ศบค.

“ไม่ทราบมาก่อนที่เครื่องบินจะลงจอดที่สนามบินอู่ตะเภา โดยคาดว่ากลุ่มลูกเรือของเครื่องบิน ได้รับการตามมาตรการผ่อนปรนก่อนหน้านี้ จะลงจอดที่สนามบินสุวรรณภูมิเท่านั้น ซึ่งจากเหตุการณ์นี้ ศบค.ได้ทบทวนมาตรการผ่อนปรนในการเดินทางเข้าประเทศไทยของชาวต่างชาติ โดยมีมติแก้ไขดังนี้

1.ศบค.จะทบทวนมาตรการผ่อนคลายมาตรการกักกันตัวของบุคคลในคณะทูต โดยเฉพาะคู่สมรส บิดามารดา หรือบุตรของบุคคลดังกล่าว

2.ให้กระทรวงต่างประเทศยกเลิกการอนุญาตการบินเข้าของเที่ยวบินกองทัพอากาศ ซึ่งได้อนุญาตไปแล้ว 8 เที่ยวบิน คือ ระหว่างวันที่ 17-20 และวันที่ 25-29 กรกฎาคม 2563

และ 3.ให้ชะลอการอนุญาตเดินทางเข้าประเทศไทยแบบผ่อนคลายมาตรการ State Quarantine ตามข้อกำหนดฉบับที่ 12 (2) (3) (11) ออกไปก่อน เพื่อทบทวนมาตรการควบคุมให้รัดกุมและรอบคอบก่อนดำเนินการต่อไป

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image