‘พิธา’ แนะเร่งฉีดวัคซีน ดีกว่าล้อมคอกตรวจเชิงรุก เผย รอถกฝ่ายค้าน เปิดเขียงเชือดรบ.แก้โควิดเหลว ขอทุ่มแรง อภิปราย พ.ร.ก.-งบ65
เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ รองหัวหน้าพรรค นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ โฆษกพรรค พร้อมด้วยนายวิเชียร กันทาทรัพย์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ก.เขตบางขุนเทียน นายคุณากร ชาวบ้านเกาะ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ก.เขตทวีวัฒนา ฯลฯ ลงพื้นที่ชุมชนวัดไผ่ตัน เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร เเละชุมชนจันทราสุข ซอยลาดพร้าว 87 เขตวังทองหลาง กรุงเทพมหานคร เพื่อทำการตรวจเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เชิงรุกให้กับประชาชนที่อาศัยอยู่ในชุมชน
นายพิธา กล่าวว่า ในวันนี้สถานการณ์การเเพร่ระบาดที่เกิดในปัจจุบันยังไม่ดีขึ้น วันนี้เป็นวันที่ 45 ตั้งเเต่ที่เกิดโควิดระบาดในระลอกที่ 3 ที่ผ่านมาโดยตนเเละทีมงานพรรคก.ก. ลงพื้นที่เพื่อตรวจโควิดเชิงรุกในแหล่งชุมชนที่สำคัญ โดยเป็นการลงพื้นที่ใช้การตรวจเชิงรุก ที่ใช้เทคโนโลยีเเบบใหม่ที่ไม่เคยใช้ในประเทศไทยมาก่อน นั่นคือ Rapid antigen test ซึ่งสามารถตรวจเเละสามารถรู้ผลภายใน 30 นาที เเละมีความเเม่นยำพอสมควร เหมาะสมต่อสถานการณ์ปัจจุบัน ที่จะเเยกคัดกรองผู้ติดเชื้อออกจากชุมชนได้เร็ว ประหยัดราคา เเละประหยัดเวลา
“ผมขอเชิญชวนรัฐบาล โดยเฉพาะพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มาลงพื้นที่เพื่อพบประชาชน รวมถึงรณรงค์ให้ประชาชนได้ตรวจเชื้อโควิดในเชิงรุก เพราะใช้เวลาไม่นาน เเละสามารถควบคุมได้เยอะ หากเจอผลเเล้วไม่มั่นใจ เราสามารถตรวจในรูปแบบ PCR ได้อีกครั้ง เเละเป็นการลดภาระบุคลากรทางการเเพทย์ได้สูง เเละจะสามารถลดคลัสเตอร์ในการติดเชื้อของผู้ป่วยในกรุงเทพมหานครได้ด้วย” นายพิธา กล่าว
นายพิธา กล่าวว่า ตนคิดว่าการมีวัคซีนกระจายฉีดให้ประชาชนอย่างทั่วถึงให้เร็วที่สุดเป็นทางออกในการแก้ไขวิกฤตสถานการณ์การเเพร่ระบาดที่เกิดขึ้น เพราะวัคซีนเป็นการแก้ไขปัญหาที่ต้นทุนต่ำราคา 600 – 700 บาท เเต่การตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนาแบบ PCR ซึ่งราคาสูง ครั้งละ 3,000- 5,000 บาท ซึ่งจำนวนวัคซีนที่มีในปัจจุบันอาจจะไม่เพียงพอต่อจำนวนประชาชนเเละแก้ไขปัญหาประเทศได้ ตนยืนยันว่า วัคซีนเป็นสิ่งที่สำคัญในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ทั้งนี้อยากกระตุ้นไปยังรัฐบาล ว่าต้องเร่งหาวัคซีนที่มีประสิทธิภาพที่ดี เเละทั่วถึงประชาชนอย่างเร็วที่สุด ยกตัวอย่างหากต้องการให้ฉีดได้วันละ 3,000 เข็ม เเต่ปัจจุบันเรามีเพียง 1,000,000 เข็ม ซึ่งไม่เพียงพอต่อประชาชนทั้งประเทศ เเละที่สำคัญคือการกระจายวัคซีนอย่างทั่วถึง ซึ่งประชาชนสับสนในมาตรการของรัฐ ตอนเเรกรณรงค์ให้ใช้แอพพลิเคชั่นหมอพร้อม เเต่ในปัจจุบันภาครัฐประชาสัมพันธ์ให้สามารถวอล์กอินได้ ซึ่งมาตรการยังไม่ชัดเจน ที่จะอำนวยความสะดวกให้ประชาชน ซึ่งตนคิดว่าในการจัดการเบื้องหลังการฉีดวัคซีนกระบวนการหลายขั้นตอน อาทิ ถ้าเป็นไฟเซอร์ หรือโมเดิร์นนา เมื่อนำเข้ามาจะต้องใช้เทคโนโลยีในการจัดเก็บภายในห้องอุณหภูมิความดันลบ เเละจำกัดจำนวนผู้รับวัคซีน ในเบื้องต้น เเละปัญหาไม่ได้อยู่ที่การนัดล่วงหน้าในการรับวัคซีน เเต่อยู่ที่ผู้สูงอายุเข้าไม่ถึงกับการใช้แอพพลิเคชั่นต่างๆ ซึ่งเราสามารถแก้ไขให้รัฐบาลเปิดคอลเซ็นเตอร์สำหรับรับลงทะเบียนได้ นี่เป็นสิ่งที่ผมอยากสะท้อนไปยังรัฐบาล
นายพิธา กล่าวว่า กรณีผู้ติดเชื้อโควิดจำนวนมากในเรือนจำ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เเละอธิบดีกรมราชทัณฑ์ควรมีมาตรการดูเเลที่ชัดเจน เพราะสิทธิในการได้รับรักษาเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้คุมขังตามรัฐธรรมนูญกำหนด ดังนั้น ผู้ติดเชื้อทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับรักษาอย่างเท่าเทียม เเละทั่วถึง และควรพิจารณาปล่อยตัวผู้ต้องหาชั่วคราวเพื่อเป็นการลดความแออัดในเรือนจำ
เมื่อถามว่า พรรคร่วมฝ่านค้านจะเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า เบื้องต้นต้องมีการหารืออีกครั้งก่อนเปิดสมัยประชุมรัฐสภาในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม แต่สิ่งสำคัญที่จะเกิดขึ้นคือการอภิปรายพระราชกำหนด 2 ฉบับตามที่รัฐบาลเสนอ เเละหลังจากนั้นจะเป็นการอภิปรายร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2565 ในวาระเเรกที่รัฐบาลเสนอ ซึ่งถือว่าสำคัญต่อพี่น้องประชาชน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการลงพื้นที่ของหัวหน้าพรรคก.ก. พร้อมทีมงานในครั้งนี้ เป็นการลงพื้นที่ตรวจเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 แบบเชิงรุกให้กับประชาชนที่อาศัยอยู่ภายในชุมชนแออัดในพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยเจ้าหน้าที่ นำรถชีวนิรภัย พร้อมอุปกรณ์ชุดตรวจกว่า 100 ชุด รวมถึงข้าวสาร เเละสิ่งของที่จำเป็นให้กับประชาชนในพื้นที่ เพื่อเป็นการป้องกันการเเพร่ระบาดเเละการกระจายเชื้อ โดยชุมชนวัดไผ่ตัน เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร มีประชาชนอาศัยกว่า 300 ครัวเรือน เเละชุมชนจันทราสุข ซอยลาดพร้าว 87 เขตวังทองหลาง มีประชาชนอาศัยจำนวน 300 กว่าครัวเรือน โดยการตรวจโควิดแบบเชิงรุกถือว่ามีประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน จากกรณีที่ประชาชนไม่สามารถเข้าถึงมาตรการสาธารณสุขของภาครัฐ ได้อย่างทั่วถึง เเละเป็นการลดความเสี่ยงของการเเพร่เชื้อ เเละลดภาระบุคลากรทางการเเพทย์
