ความมั่นใจ ต่อคลัสเตอร์เรือนจำ ความมั่นใจ ประยุทธ์ จันทร์โอชา
แม้การเกิด ‘คลัสเตอร์’ เกือบทุก ‘ชุมชนแออัด’ ในพื้นที่กรุงเทพมหา นครจะสะท้อนให้เห็นการปล่อยปละละเลยของรัฐบาลต่อคนยากคนจน แต่กรณี ‘เรือนจำคลัสเตอร์’ ยิ่งมีความเด่นชัด
เพราะทุกเรือนจำ 140 กว่าแห่งในขอบเขตทั่วประเทศล้วนอยู่ในความรับผิดชอบของกรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม
ไม่ว่าจะมองผ่านอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ไม่ว่าจะมองผ่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ไม่ว่าจะมองผ่านนายกรัฐมตรี ไม่ว่าจะมองผ่านผู้อำนวยการศบค.
ล้วนยากที่จะปัดปฏิเสธ ล้วนยากที่จะไม่อาจรับรู้ในสภาพความเป็นจริงที่ไม่เพียงแต่จะมีการแพร่ระบาดอย่างอึกทึก ครึกโครม กว้างขวาง ใหญ่โต เพิ่มตัวเลขแตะเข้าไปใกล้หลักหมื่น
หากที่สำคัญมากยิ่งไปกว่านั้นยังอยู่ที่ 1 กรมราชทัณฑ์และกระทรวงยุติธรรมไม่เคย ‘สำเหนียก’ มาก่อน
และ 1 เหตุใด ‘ตัวเลข’ จึงมาปูดเป่งในเดือนพฤษภาคม
ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง ‘โควิด’ แพร่ระบาดตั้งแต่เดือนมีนาคม 2563 แล้ว เป็นคำถามถึงกระบวนการทำงานอย่างมีนัยสำคัญ
กล่าวสำหรับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมอาจไม่ได้รู้ในข้อเท็จจริงที่ดำรงอยู่เพราะเพิ่งเข้ามาดำรงตำแหน่งหลังการเลือกตั้ง เมื่อเดือนมีนาคม 2562
แต่บรรดาอธิบดีและรองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ซึ่งล้วนเป็น ‘ลูกหม้อ’ เติบใหญ่อยู่ในสายงานมาอย่างต่อเนื่อง
ไม่เคยรู้มาก่อนเลยหรือว่าจำนวนนักโทษและผู้ต้องขังระหว่าง ดำเนินคดีมากกว่า 300,000 คนภายในเรือนจำ 140 กว่าแห่งทั่วประเทศมีสภาพความเป็นอยู่อย่างไร
เพียงภาพที่สื่อญี่ปุ่นนำออกเผยแพร่และมีการยอมรับโดยกรม ราชทัณฑ์ว่าเป็นเรือนจำในจังหวัดชุมพร แม้มิได้เป็นภาพปัจจุบัน
กระนั้น ใครที่เห็นย่อมตระหนักว่าเป็นภาพอันน่าอเนจอนาถยิ่ง
ท่วงท่าอาการของรัฐมนตรีอาจมีความขึงขังเป็นอย่างสูง แต่สังคมก็ประเมินและสรุปไปล่วงหน้าแล้วอย่างเป็นเอกภาพ โดยพื้นฐานก็คือในเรื่องความน่าเชื่อถือของกรมราชทัณฑ์
ตัวอย่างที่เด่นชัดก็คือในกรณีของ น.ส.ปภัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล
ความไม่มั่นใจว่ากรมราชทัณฑ์จะสามารถจัดการได้ก็อีกรอบเดียวกับความไม่มั่นใจว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะจัดการได้
นี่คือ ความไม่มั่นใจ ‘ร่วม’ ที่ดำรงอยู่ในสังคม