สธ.เผย ปีนี้จัดหาวัคซีนทะลุเป้า 124 ล้านโดส ปูพรมฉีดทั้งประเทศ ธ.ค. รับเปิด ปท. ใช้ชีวิตวิถีใหม่

สธ.เผย ปีนี้จัดหาวัคซีนทะลุเป้า 124 ล้านโดส ปูพรมฉีดทั้งประเทศ ธ.ค. รับเปิด ปท. ใช้ชีวิตวิถีใหม่

เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดเผยว่า สำหรับแผนการฉีดวัคซีนของประเทศไทยในปี 2564 มีการฉีดวัคซีนไปทั้งหมด 30 กว่าล้านโดส โดยเฉพาะเดือนสิงหาคมสามารถจัดหาวัคซีนมาในระบบค่อนข้างสูง จากบริษัท ซิโนแวค บริษัทแอสตร้าเซนเนกา บริษัทไฟเซอร์ รวม 3 ชนิดนี้อยู่ที่ 13.8 ล้านโดส

นอกจากนี้ยังมีวัคซีนซิโนฟาร์ม ที่ทางราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์นำเข้ามา ทำให้ยอดการฉีดวีคซีนในเดือนสิงหาคมค่อนข้างสูง เมื่อเปรียบเทียบเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา

จัดหาวัคซีนได้ทะลุเป้า 124 ล้านโดส

สำหรับประมาณการจัดหาวัคซีนในเดือนกันยายน-ธันวาคมนี้ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ทางรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขได้ร่วมกันกำหนด ตามแผนเดิมจะฉีดวัคซีนให้ได้ 100 ล้านโดสในปี 2564 ให้ครอบคลุมอย่างน้อย 50 ล้านคน

ถ้าดูประมาณการจัดหาวัคซีนเข้ามาในเดือนกันยายนและตุลาคมจะมีวัคซีนซิโนแวคเข้ามาอีกประมาณ 6 ล้านโดสต่อเดือน และแอสตร้าเซนเนก้าในเดือนกันยายน 7.3 ล้านโดส ส่วนเดือนตุลาคม 10 ล้านโดส พฤศจิกายน 13 ล้านโดส ธันวาคม 13 ล้านโดส มีแนวโน้มที่ดีจะส่งมอบให้ได้มากขึ้น อย่างน้อยขั้นต่ำต้องไม่น้อยกว่าเดือนกันยายน เป็นสัญญาณที่ดีว่าตุลาคม-ธันวาคมจะได้วัคซีนจำนวนมากขึ้น

Advertisement

ส่วนบริษัทไฟเซอร์ได้รับการแจ้งอย่างไม่เป็นทางการจะได้วัคซีนเข้ามาประมาณปลายเดือนกันยายน 2 ล้านโดส จากนั้นตุลาคม 8 ล้านโดส พฤศจิกายน 10 ล้านโดส และธันวาคม 10 ล้านโดส มีแนวโน้มจะส่งให้ได้ 30 ล้านโดสตามที่ได้เซ็นสัญญาไปภายในสิ้นปีนี้

“ฉะนั้นจะมียอดวัคซีนจากการจัดหา 3 วัคซีนหลักของเราขณะนี้อยู่ที่ 124 ล้านโดส เกินจากเป้าหมายที่กำหนดไว้ ถ้าดูศักยภาพการฉีดแต่ละวันมากกว่า 6 แสนโดสต่อวัน เชื่อว่าจะฉีดวัคซีนได้ตามที่เป้าหมายกำหนด“

ไตรมาส 4 รพ.เอกชนเริ่มนำเข้าโมเดอร์นา

นอกจากนี้ยังมีข่าวดีที่ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์มีการนำเข้าวัคซีนซิโนฟาร์มมาอยู่เรื่อยๆ จะทำให้ยอดฉีดเพิ่มขึ้นอีก รวมถึงการที่องค์การเภสัชกรรมร่วมกับโรงพยาบาลเอกชนหลายแห่งนำเข้าวัคซีนโมเดอร์นาเข้ามาอีก คาดว่าจะมาในไตรมาส 4 นี้ เมื่อรวมแล้วจะได้วัคซีนเกิน 100 ล้านโดส สร้างความมั่นใจให้ประชาชนว่าจะฉีดวัคซีนได้ตามแผนบรรลุเป้าหมายขอให้ไปรับวัคซีนเพื่อให้ประเทศปลอดภัยจากโควิดมากขึ้น

“ถ้าประชาชนอยากฉีด รัฐบาลจะจัดหาวัคซีนให้ประชาชนฉีดด้วยความสมัครใจ ถ้าดูตามตัวเลขสิ้นธันวาคมการจัดหาวัคซีนจะอยู่ที่อย่างน้อย 140 ล้านโดส จากตัวเลขสามารถฉีดให้ประชาชนได้อยู่แล้ว เกิน 70% แน่นอน”

เปิดไทม์ไลน์ฟื้นฟูเศษฐกิจ-เปิดประเทศ

นพ.โอภาสกล่าวอีกว่า เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม มีการประชุม ศบค. มีเสนอมาตรการควบคุมโรคแนวใหม่ เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและเปิดประเทศอย่างปลอดภัย อย่างที่ทราบว่าโควิดเป็นโรคอุบัติใหม่ในโลก ตอนนี้เกือบ 2 ปีแล้ว ทั่วโลกได้ประสบการณ์อยู่ร่วมกับโควิดมาอย่างต่อเนื่อง และมีนวัตกรรมใหม่ๆ เช่น วัคซีน การตรวจบริการที่สะดวกยิ่งขึ้น เชื่อว่าในอนาคตจะมีรับมือและใช้ชีวิตอยู่กับโควิดได้อย่างปลอดภัย

“เป้าหมายคือต้องพยายามทำให้ผู้ติดเชื้อเสียชีวิตจากโควิดน้อยลงที่สุด พยายามลดการติดเชื้อให้ได้มากที่สุด โดยไม่กระทบต่อการใช้ชีวิตของประชาชน ถ้าดูในประเทศไทยในเดือนสิงหาคมอยู่ในสถานการณ์ที่ค่อนข้างรุนแรง ถ้าดูตามชาร์ตรุนแรงมากเป็นสีแดงเข้ม รุนแรงรองลงมาสีแดง ดีขึ้นปานกลางสีส้ม ค่อนข้างปลอดภัยเป็นสีเหลือง และปลอดภัยเป็นสีเขียว“

ดีเดย์ ธ.ค.ใช้ชีวิตแนวใหม่อยู่ร่วมโควิด

นพ.โอภาสกล่าวว่า จากการคาดการณ์และการวางกลยุทธ์การควบคุมโรค กำหนดว่าพยายามให้สถานการณ์ต่างๆ ดีขึ้นในเดือนกันยายนและตุลาคม สถานการณ์จะอยู่ระดับปานกลาง จากนั้นพฤศจิกายนจะดีขึ้น และธันวาคมน่าจะมีการใช้ชีวิตแนวใหม่ได้อย่างปลอดภัย

ในการป้องกันโรคล่วงหน้าคือการฉีดวัคซีนเป็นภูมิต้านทานต่อสู้กับเชื้อโรค แม้ว่าเราจะเชื่อว่าวัคซีนทุกตัวโลกไม่มีชนิดใดป้องกันการติดเชื้อได้ 100% แต่วัคซีนที่องค์การอนามัยโรคให้คำแนะนำ รวมถึงสำนักคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ไทยให้คำแนะนำ จะมีประสิทธิภาพในการลดการติดเชื้อลงได้

“วัคซีนทุกชนิดสามารถลดอาการป่วยหนัก การเสียชีวิตได้ค่อนข้างดี การฉีดวัคซีนยังเป็นมาตรการสำคัญในการดำเนินการ ถึงเดือนธันวาคมเป้า 100 ล้านโดสยังเป็นเป้าที่เราดำเนินการอยู่“

ธ.ค.ฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มและเข็ม 3 ทั้งประเทศ

ตามแผนในเดือนสิงหาคมฉีดเข็ม 1 กลุ่ม 608 ผู้สูงอายุ 60 ปี กลุ่ม 7 โรคเรื้อรัง และหญิงตั้งครรภ์ตั้งเป้าในเดือนกันยายนจะฉีดให้ได้ 70% ใน จากนั้นจะทยอยฉีดให้กลุ่มอื่นๆ ต่อไป รวมถึงกลุ่มเด็กที่มีสัญญาณที่ดีจากวัคซีนไฟเซอร์สามารถฉีดให้กับเด็กอายุ 12 ปี ขึ้นไปได้ เมื่อเข้ามาปลายกันยายนจะทยอยฉีดให้ประชาชนและกลุ่มเด็กต่อไป ตั้งเป้าจะฉีดเข็ม 1 ให้ประชาชนทั้งประเทศ 70% และฉีดเข็ม 3 ในพื้นที่เสี่ยงในเดือนพฤศจิกายนและฉีดครบ 2 เข็มได้ 70%และเข็ม 3 ทั้งประเทศในเดือนธันวาคม

ย้ำต้องทำ 3 มาตรการคู่ขนาน

นอกจากวัคซีนแล้ว ทั่วโลกเห็นตรงกันว่าวัคซีนอย่างเดียวไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาหรือชะลอการระบาดของโรคได้มีประสิทธิภาพ จะต้องร่วมกับมาตรการอื่นๆ ไปพร้อมกัน คือ 1.มาตรการส่วนบุคคล (universal prevention) หรือการปองกันการติดเชื้อแบบครอบจักรวาล สำหรับประชาชนทั่วไปให้มีความระมัดระวังตัวเองขั้นสูงสุด

2.มาตรการคัดกรองด้วยวิธีต่างๆ โดยเฉพาะการตรวจหาเชื้อด้วย ATK เป็นมาตรการที่จะต้องดำเนินการและ 3.มาตรการคุมการระบาดในองค์กร โรงงาน แคมป์คนงาน สถานที่ทำงาน ในหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บริษัท ห้างร้าน โรงงาน ต้องมีการมาตรการที่ร่วมกันดำเนินการให้เป็นลักษณะปกติ

“ถ้าทำได้ไม่ว่าจะเป็นมาตรการฉีดวัคซีน มาตรการส่วนบุคคล มาตรการตรวจคัดกรอง มาตรการสถานที่ทำงาน จะสามารถเปิดกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างต่อเนื่อง เป็นเป้าหมายยุทธศาสตร์และการควบคุมโรคที่เสนอ ศบค.และอนุมัติหลักการดำเนินการแล้ว” นพ.โอภาสกล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image