โควิดคร่าชีวิตเพิ่ม 49 คน ห่วง 10 จว.ฉีดวัคซีนต่ำ เตือนโรมแรมหลอกนักท่องเที่ยว

ศบค.เผยติดโควิด 6,428 ราย ดับเพิ่ม 49 คน ห่วง 10 จว.ฉีดวัคซีนต่ำ พบงานศพ ทอดกฐิน แคมป์คนงานติดเชื้อหลาย จว. เตือนโรมแรมหลอกนักท่องเที่ยว

เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน ที่ทำเนียบรัฐบาล พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) แถลงสถานการณ์การติดเชื้อโควิดประจำวันว่า องค์การอนามัยโลกเป็นห่วงการติดเชื้อในประเทศสหรัฐอเมริกาและกลุ่มประเทศยุโรปตะวันออกที่เริ่มกลับมามีตัวเลขสูงขึ้น ปัจจัยสำคัญคือการฉีดวัคซีนของประชากรยังมีจำนวนไม่ครบตามเกณฑ์ มีการฉีดจำนวนน้อย ทำให้มีการติดเชื้อที่เพิ่มสูง และยอดผู้เสียชีวิตเริ่มสูงขึ้น

พญ.อภิสมัยกล่าวว่า ขณะที่ประเทศในแถบตะวันตกแม้จะฉีดวัคซีนในตัวเลขที่สูง แต่ยังลดอัตราการติดเชื้อไม่ได้ ทำให้หลายประเทศมีนโยบายที่แข็งกร้าวขึ้น เช่น บางประเทศประกาศว่าคนที่ยังไม่ฉีดวัคซีนจะไม่สามารถใช้บริการสวนสาธารณะได้ รวมทั้งขนส่งสาธารณะ บางประเทศมีการปิดเมืองส่งผลให้มีการประท้วงในหลายพื้นที่ของยุโรป ประเทศไทยต้องติดตามสถานการณ์ในประเทศยุโรปและสหรัฐ เพราะนักท่องเที่ยวที่มาประเทศไทยส่วนใหญ่มาจากประเทศสหรัฐและกลุ่มประเทศยุโรป

พญ.อภิสมัยกล่าวอีกว่า รายงานตัวเลขการติดเชื้อของไทยวันนี้เพิ่มขึ้น 6,428 ราย หายป่วยเพิ่ม 7,882 ราย เหลือผู้ป่วยรักษาตัวอยู่ 85,768 ราย มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 49 ราย มีผู้เสียชีวิตสะสม 20,342 ราย โดยผู้เสียชีวิตพบว่ามีอัตราครองเตียงเพียง 10 วัน สะท้อนว่าเป็นผู้ป่วยใหม่และไม่ได้ฉีดวัคซีน ทำให้มีอาการป่วยหนักอย่างรวดเร็วและเสียชีวิต ผู้ที่ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ จำนวน 382 ราย เหลือผู้ป่วยรักษาตัวอยู่ อัตราการตรวจอาทีพีซีอาร์ อยู่ที่ประมาณ 3-4 หมื่นรายต่อวัน ขณะที่การตรวจเชื้อแบบเอทีเคอยู่ที่ประมาณ 3-4% ของทั้งประเทศ

Advertisement

“เมื่อแยกเป็น พื้นที่ กทม.และปริมณฑล พบว่าผลตรวจเอทีเคมีทิศทางที่ลดลง ส่วนการเฝ้าระวังจังหวัดที่ต้องจับตามอย่างใกล้ชิด กลุ่มแรก เป็นจังหวัดที่ติดเชื้อเกิน 100 รายต่อวัน และผลตรวจเอทีเคมากกว่า 5% ได้แก่ จ.สงขลา ตรัง สุราษฎร์ธานี กระบี่ นครศรีธรรมราช บางจังหวัดเป็นพื้นที่นำร่องการท่องเที่ยวด้วยจึงต้องจับตาอย่างใกล้ชิด ขณะที่บางจังหวัดแม้จะมีตัวเลขติดเชื้อไม่สูงมากในจำนวนที่ต่ำกว่า 100 รายต่อวัน แต่ดูทิศทางในช่วง 7 วัน และ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ได้แก่ จ.เชียงใหม่ เชียงราย พิษณุโลก สิงห์บุรี และ ลำพูน เป็นจังหวัดที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด

“ส่วนผู้เสียชีวิตวันนี้คือกลุ่มเสี่ยง คือผู้สูงอายุและมีโรคเรื้อรัง ในอัตรา 93% มีเด็กอายุ 14 ปี จ.ปัตตานี ที่เสียชีวิตและไม่ได้ฉีดวัคซีน และคงต้องเน้นย้ำผู้ปกครองที่มีบุตรหลานอายุ 12-17 ปี โดยเฉพาะพื้นที่ภาคใต้ ที่มีวัคซีนไฟเซอร์ ควรช่วยกันรณรงค์พาบุตรหลานไปฉีดวัคซีน รวมทั้งผู้ป่วยติดเตียงมีเสียชีวิต 1 ราย จึงต้องเน้นย้ำบางพื้นที่ที่คิดว่ามีผู้ติดเชื้อน้อยและผู้สูงอายุอยู่ที่บ้านไม่ได้ออกไปไหน แต่เนื่องจากมีการเปิดประเทศและมีการเดินทางข้ามพื้นที่ อาจมีการสัมผัสกับบุคคลที่เข้าไปในพื้นที่เสี่ยงได้ จึงขอความร่วมมือให้พาผู้ป่วยและผู้สูงอายุไปฉีดวัคซีน” พญ.อภิสมัยกล่าว

ผู้ช่วยโฆษก ศบค.กล่าวว่า การแพร่ระบาดเป็นคลัสเตอร์พื้นที่จังหวัดต่างๆ 10 อันดับแรก 1.กรุงเทพฯ 815 ราย 2.สงขลา 457 ราย 3.นครศรีธรรมราช 438 ราย 4.ราชบุรี 289 ราย 5.สุราษฎร์ธานี 280 ราย 6.เชียงใหม่ 240 ราย 7.ปัตตานี 194 ราย 8.สมุทรปราการ 164 ราย 9.ชลบุรี 150 ราย และ 10.ยะลา 146 ราย โดยคลัสเตอร์ที่เน้นย้ำมาตลอดคืองานประเพณีและพิธีกรรมทางศาสนา มีงานบวน งานทอดกฐิน ที่ จ.ร้อยเอ็ด งานศพที่ จ.กาญจนบุรี มีผู้ติดเชื้อ 19 คน มีงานศพที่ ต.โนนสะอาด จ.อุดรธานี พบติดเชื้อแล้ว 7 ราย ในส่วนของ แคมป์คนงาน มีรายงานที่ จ.สระแก้ว ขอนแก่น ลำพูน จ.เชียงใหม่ อ.แม่ริม อ.ดอยสะเก็ด โรงเรียน มีที่ จ.อุบลราชธานี สุราษฎร์ธานี กทม.มีรายงานติดเชื้อทั้งที่ โรงงาน และตลาด รวมทั้งในสถานประกอบการ

Advertisement

“การสำรวจสถานบันเทิงที่ขึ้นทะเบียนใน กทม.มีทั้งสิ้น 1,443 แห่ง หากสถานบันเทิงไหนยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนควรรีบไปติดต่อกับ กทม. เพราะในสัปดาห์นี้ กทม.จะเริ่มสำรวจสถานบันเทิง หรือกิจการในลักษณะใกล้เคียง มีการสำรวจในเบื้องต้นไปแล้ว 975 แห่ง และแนะนำให้สถานบริการดังกล่าวเข้าไปดูรายละเอียด ที่ไทยสต็อปโควิดทูพลัส (Thai stop covid 2 plus) ที่เว็บไซต์ของกรมอนามัย เพื่อศึกษาข้อปฏิบัติว่าสถานประกอบการของท่านจะเข้าเกณฑ์โควิดฟรีเซตติ้งได้อย่างไร ซึ่งยังมีเวลาให้แต่ละสถานประกอบการเตรียมตัวให้เข้าหลักเกณฑ์ โดยจะมีคณะกรรมการโรคติดต่อเข้าไปให้คำแนะนำ เพื่อเตรียมพร้อมในการเปิดต่อไป” พญ.อภิสมัยกล่าว

พญ.อภิสมัยกล่าวต่อว่า ส่วนการฉีดวัคซีน หากพนักงานในสถานประกอบการใดยังไม่ได้ฉีดวัคซีน แนะนำว่าควรให้พนักงานไปรับวัคซีนโดยด่วน หากมีการรับพนักงานใหม่ควรสอบถามว่าได้รับการฉีดวัคซีนแล้วหรือยังด้วย โดยเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายนที่ผ่านมา มีการฉีดวัคซีนไป จำนวน 185,639 โดส มียอดฉีดวัคซีนสะสมเข็มที่ 1 จำนวน 46,718,041 ราย คิดเป็น 64.9% เข็มที่ 2 จำนวน 39,202,716 ราย คิดเป็น 54.4% เข็มที่ 3 จำนวน 3,068,505 ราย คิดเป็น 4.3 % รวมฉีดวัคซีนสะสมทั้งประเทศจำนวน 88,989,235 โดส ทั้งนี้ มีบางจังหวัดรายงานมาว่าหาคนไปฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 ยากมาก ตรงนี้เป็นเรื่องที่ต้องรับผิดชอบร่วมกัน ซึ่งถือเป็นความผิดชอบต่อชุมชนและสังคมที่ท่านอยู่อาศัยด้วย ซึ่งการจะเปิดประเทศให้ปลอดภัย

“สธ.ตั้งเป้าว่า เข็มที่ 1 ควรฉีดให้ได้ 100 ล้านโดส ภายในสิ้นเดือนพฤศจิกายนนี้ ตอนนี้ยังมี 10 จังหวัดที่ฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 ต่ำ คือ นครพนม หนองบัวลำภู สกลนคร บึงกาฬ กาฬสินธุ์ ยโสธร แม่ฮ่องสอน สุรินทร์ ร้อยเอ็ด และ สมุทรสงคราม คงต้องฝากให้ทุกหน่วยงานช่วยประชาสัมพันธ์ สนับสนุนให้ประชาชนได้ไปฉีดวัคซีนกันให้เพิ่มขึ้น

“ในส่วนของนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1-21 พฤศจิกายน มีจำนวน 85,608 ราย มีผลติดเชื้อ 112 คน คิดเป็น 0.13 % ถึงแม้ตัวเลขติดเชื้อไม่สูง แต่มีความสำคัญให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องช่วยกันเป็นหูเป็นตา ปฏิบัติตามมาตรการตรวจคัดครองอย่างเคร่งครัด ซึ่งผู้ประกอบการในจังหวัดพื้นที่ท่องเที่ยวได้รายงานต่อที่ประชุม ศปก.ศบค. อันดับแรก พบว่า นักท่องเที่ยวบางรายไม่ปฏิบัติการตามมาตรการสธ. ที่เป็นนักท่องเที่ยวที่เข้าทางแซนด์บ๊อกซ์ คือการปฏิเสธสวมหน้ากากอนามัย การรวมกลุ่มสังสรรค์นำไปสู่การติดเชื้อได้ ซึ่งต้องขอบคุณทางโรงแรมและสถานประกอบการ โดยเฉพาะบุคคลสำคัญ คือชาร์เมเนเจอร์ ที่ช่วยตักเตือนและรายงานมายังศบค. ซึ่งต้องเน้นย้ำว่า ตามพ.ร.บ.โรคติดต่อ ของประเทศไทย การไม่สวมหน้ากากอนามัย การรวมกลุ่มกันทำกิจกรรม ถือว่ามีความผิด มีโทษปรับสูงสุด 2 หมื่นบาท ต้องเน้นย้ำว่า ชาร์เมเนเจอร์ ถ้าปฏิบัติอย่างถูกต้อง ไม่ต้องกลัว เพราะนักท่องเที่ยวต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของท่าน ถ้าไม่ให้ความร่วมมือก็สามารถดำเนินคดีไปตามความผิดได้” ผู้ช่วยโฆษก ศบค.กล่าว

ผู้ช่วยโฆษก ศบค.กล่าวว่า ขณะที่พบว่ายังมีโรงแรมส่วนหนึ่งเอาเปรียบนักท่องเที่ยว เข้าเกณฑ์หลอกหลวง คือก่อนที่นักท่องเที่ยวจะเดินทางเข้าประเทศไทย ต้องผ่านไทยแลนด์พาสก่อน แต่มีนักท่องเที่ยวจำนวนน้อยที่จองโรงแรมผ่านออนไลน์ และจองเฉพาะห้องพัก ไม่รวมแพคเกจที่รวมเรื่องรถรับส่งจากสนามบิน ไม่มีการซื้อการตรวจอาร์ทีพีซีอาร์ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ชี้แจงไปยังเว็บไซต์ท่องเที่ยวต่างๆ ว่าถ้านักท่องเที่ยวทำไม่ครบถ้วน จะถูกปฏิเสธไทยแลนด์พาส ไม่มีสิทธิเดินทางเข้าประเทศไทย และมีนักท่องเที่ยวบางส่วนถูกตรวจสอบที่สนามบิน เนื่องจากซื้อแพคเกจจากโรงแรมบางแห่งที่บอกข้อมูลไม่ครบถ้วนและอาจเข้าข่ายหลอกลวงนักท่องเที่ยว และพอเกิดปัญหาพบว่าบางโรมแรมไม่คืนเงินให้นักท่องเที่ยวด้วย

“ศบค.ได้รับทราบปัญหานี้ จึงต้องขอความร่วมมือให้โรงแรมถือปฏิบัติไปในทิศทางเดียวกันตามมาตรฐานที่กำหนด ความสำเร็จที่จะเกิดขึ้นได้ตามแผนหรือไม่ ภาครัฐจะต้องกำกับดูแลอย่างใกล้ชิด ไม่หย่อนมาตรการ และต้องขอความร่วมมือภาคเอกชน สถานประกอบการที่เกี่ยวข้องให้ร่วมมือปฏิบัติตามมาตรการโควิดฟรีเซตติ้งอย่างเข้มงวด ถ้าทุกหน่วยปฏิบัติตามมาตรฐานชาพลัสได้ จะได้มีการผ่อนคลายมาตรการได้มากขึ้น” ผู้ช่วยโฆษก ศบค.กล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image