ฉบับละเอียด 1 พ.ค.เลิก Test&Go เร่งฉีดวัคซีนเด็กรับเปิดเทอม ครู-น.ร.เสี่ยงต่ำไม่ต้องกักตัว

ศบค.ไฟเขียว ยกเลิก Test&Go กระตุ้นท่องเที่ยว เร่งฉีดวัคซีนเด็ก รับเปิดเทอม 12-17 ปีเลือกฉีดครึ่งโดสได้ ครู นักเรียนเสี่ยงต่ำไม่ต้องกักตัว ลดกักตัวเสี่ยงสูง ติดเชื้อปฏิบัติตามมาตรการ เปิดเรียนตามปกติ

เมื่อวันที่ 22 เมษายน นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. แถลงภายหลังการประชุม ศบค.ชุดใหญ่ ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ว่าที่ประชุมยังได้เห็นชอบมาตรการเตรียมพร้อมเปิดเทอมภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 ดังนี้ สถานศึกษาประเมินตนเองเตรียมพร้อมเปิดเรียน นักเรียนอายุ 12-17 ปีได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นเข็ม 3 ผ่านระบบสถานศึกษา และเร่งฉีดเข็มวัคซีนเด็กอายุ 5-11 ปี ตามความสมัครใจผู้ปกครอง นักเรียน ครู บุคลากร ปฏิบบัติตามามตรการ 6-6-7 อย่างเคร่งครัด อาทิ เว้นระยะห่าง สวมหน้ากากอนามัย 100% ล้างมือ ตรวจหาเชื้อด้วย ATK เมื่อมีอาการหรือเสี่ยง หลีกเลี่ยงการรวมกลุ่ม กรณีนักเรียนติดเชื้อ หรือเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูงปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัด

นพ.ทวีศิลป์กล่าวว่า มาตรการความปลอดภัยนักเรียนแบบออนไซต์ ด้วยหลักการ Sandbox Safety Zone in School ตัดความเสี่ยง สร้างภูมิคุ้มกันด้วย 3T1V คือ Thai stop COVID Plus โรงเรียนต้องประเมินตนเอง เตรียมความพร้อมก่อนเปิดเทอม Thai Save Thai นักเรียน ครู บุคลากรทางการศึกษาประเมินความเสี่ยงตัวเองเป็นประจำ Test เฝ้าระวังอย่างเหมาะสม ตรวจคัดกรอง และ Vaccine ครู นักเรียน อายุ 5-17 ปีได้รับวัคซีนตามเกณฑ์ ทั้งนี้ นายกฯกำชับให้สร้างความปลอดภัยสถานศึกษาทุกระดับ กรณีครูนักเรียน โรงเรียนประจำ เป็นผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ ให้ทำตามมาตรการและประเมิน Thai Save Thai เว้นระยะห่างของนักเรียนในห้องเรียนไม่น้อยกว่า 1 เมตร

“กรณี สัมผัสเสี่ยงสูง กักตัวเป็นเวลา 5 วัน สังเกตอาการอีก 5 วัน การตรวจคัดกรองหาเชื้อ ถ้ามีอาการให้ตรวจทันที และให้ตรวจครั้งที่ 1 ในวันที่ 5 หลังสัมผัสผู้ติดเชื้อ และตรวจครั้งสุดท้ายในวันที่ 10 หลังสัมผัสผู้ติดเชื้อ กรณีนักเรียนได้รับวัคซีนครบและไม่มีอาการ ไม่แนะนำให้กักตัว และให้ตรวจ ATK ซ้ำในวันที่ 5 หรือ ถ้ามีอาการให้แยกกักตัวและสังเกตอาการครบ 10 วัน พร้อมปฏิบัติตัวตามาตรการขั้นสูงสุด

“กรณีครู หรือบุคลากร และนักเรียน ติดเชื้อ โรงเรียนประจำ พิจารณาร่วมกับหน่วยบริการสาธารณสุข หรือคณะกรรมการโรคติดต่อ แยกกักตัวที่โรงเรียน ปฏิบัติตามแนวทางของ สธ. กรณีไม่มีอาการ หรือมีอาการเล็กน้อย ให้จัดการเรียนการสอนได้ตามเหมาะสม เว้นระยะห่างไม่น้อยกว่า 2 เมตร งดกิจกรรมรวมกลุ่ม เน้นระบายอากาศ โดยต้องปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัด ติดต่อ 1330 สปสช. ต่อ 14 หรือหน่วยบริการสาธารณสุขพื้นที่ ตามระบบอนามัยโรงเรียน ทำความสะอาดห้องเรียน ชั้นเรียน สถานศึกษาตามมาตรการสธ. และเปิดเรียนตามปกติ” นพ.ทวีศิลป์กล่าว

Advertisement
นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค.

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

นพ.ทวีศิลป์กล่าวต่อว่า กรณีครู บุคลากรทางการศึกษา นักเรียน สัมผัสเสี่ยงต่ำ โรงเรียนไป-กลับ ให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับโรงเรียนประจำ กรณีสัมผัสเสี่ยงสูง ให้แยกกักตัวที่บ้าน หรือสถานที่ตามคำแนะนำของหน่วยบริการสาธารณสุข 5 วัน และให้ติดตามสังเกตอาการอีก 5 วัน การตรวจ ATK ถ้ามีอาการให้ตรวจทันที และให้ตรวจครั้งที่ 1 ในวันที่ 5 หลังสัมผัสผู้ติดเชื้อ และให้ตรวจครั้งสุดท้ายในวันที่ 10 หลังสัมผัสผู้ติดเชื้อ กรณีนักเรียนได้รับวัคซีนครบ และไม่มีอาการ ไม่แนะนำให้กักกัน ให้ตรวจ ATK ซ้ำในวันที่ 5 หรือเมื่อมีอาการพร้อมแยกกักตัว 5 วัน ให้สังเกตอาการครบ 10 วัน สถานศึกษาจัดการเรียนการสอนที่เหมาะสม ประสารหน่วยบริการสาธารณสุข โรงเรียนเว้นระยะห่างไม่น้อยกว่า 2 เมตร กรณีติดเชื้อ แยกกักตัวที่บ้าน หรือปฏิบัติตามหน่วยบริการสาธารณสุข พิจารณาจัดทำ School isolation จัดการเรียนการสอนที่เหมาะสมโดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่มีอาการ ทำความสะอาดห้องเรียน ชั้นเรียน สถานศึกษา และเปิดเรียนตามปกติ

นพ.ทวีศิลป์กล่าวว่า ผลการให้บริการวัคซีนโควิด-19 วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564-21 เมษายน 2565 มีรายละเอียดดังนี้ จำนวนผู้ได้รับวัคซีนสะสม จำนวน 132 ล้านโดส แบ่งเป็น เข็มที่ 1 จำนวน 56 ล้านโดส คิดเป็นร้อยละ 80 เข็ม 2 จำนวน 50 ล้านโดส คิดเป็นร้อยละ 73 เข็มกระตุ้นสะสม จำนวน 25.5 ล้านโดส คิดเป็นร้อยละ 36.2 โดยการฉีดวัคซีนกลุ่มเป้าหมายหลักในเดือนมีนาคม 2565 มีดังนี้ ผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป มีจำนวน 12.7 ล้านคน ฉีดเข็ม 1 จำนวน 10.6 ล้านโดส คิดเป็นร้อยละ 84.1 เข็มที่ 2 จำนวน 10.1 ล้านโดส คิดเป็นร้อยละ 79.7 เข็มที่ 3 จำนวน 5 ล้านโดส คิดเป็นร้อยละ 39.8 และผู้ที่มีอายุ 5-11 ปี มีจำนวน 5.1 ล้านคน ฉีดเข็มที่ 1 จำนวน 2.5 ล้านโดส คิดเป็นร้อยละ 50.3 เข็มที่ 2 0.29 ล้านโดส คิดเป็นร้อยละ 5.8 จะเห็นได้ว่าเด็กยังได้รับวัคซีนน้อยอยู่ ดังนั้น ที่ประชุมจึงมีเป้าหมายการให้วัคซีนประเทศไทย ปี 2565 ดังนี้ ฉีดให้กลุ่มเป้าหมายอายุ 12 ขึ้นไป ที่ยังไม่เคยรับการฉีดวัคซีน สามารถเข้ารับการฉีดวัคซีนแบบ walk-in ได้ตามสถานพยาบาลที่กำหนด ผู้ที่ฉีดวัคซีนครบตามเกณฑ์ หรือผู้ที่ติดเชื้อสามารถเข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น ตามแนวทางที่ สธ.กำหนดไว้ และกลุ่มเป้าหมายอายุ 5-11 ปี ได้รับการฉีดวัคซีนได้ตามความสมัครใจของเด็กและผู้ปกครอง เพื่อให้ทันกับการเปิดภาคเรียนที่ 1/2565

Advertisement
นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค.

นพ.ทวีศิลป์กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับแผนการเร่งฉีดวัคซีนในกลุ่มเป้าหมาย 5-11 ปี เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับเปิดภาคเรียนที่ 1/2565 มีดังนี้ ฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 ในกลุ่มเป้าหมายอายุ 12-17 ปี ที่ไม่ได้มารับฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 ตามนัดผ่านระบบสถานพยาบาล ฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 และ 2 ในกลุ่มเป้าหมาย 5-11 ปี ผ่านระบบสถานศึกษา และฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นในกลุ่มเป้าหมาย 12-17 ปี ที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบ 2 เข็ม ตามเกณฑ์ผ่านระบบสถานศึกษาและสถานพยาบาล นอกจากนี้ สธ.รายงานผลวิจัยการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ในเด็กอายุเฉลี่ย 15 ปี ที่ได้รับวัคซีนครบมาแล้วเป็นเวลา 5 เดือน โดยการตรวจเลือดวัดระดับภูมิคุ้มกันหลังฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น (เข็ม 3) โดยเปรียบเทียบระหว่างวัคซีนขนาด 15 ไมโครกรัม (ฝาม่วงครึ่งโดส) และขนาด 30 ไมโครกรัม (ฝาม่วง) ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ผลการศึกษาพบว่า ระดับภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโอมิครอนอยู่ในเกณฑ์ดี มากทั้งการฉีดกระตุ้นขนาดเต็มโดสและครึ่งโดส ทั้งนี้การรับวัคซีนขนาดครึ่งโดสมีโอกาสเกิดผลข้างเคียงหลังการฉีดน้อยกว่าการรับวัคซีนขนาดเต็มโตส ซึ่งที่ประชุมเห็นชอบว่าการฉีดวัคซีนให้เด็กอายุ 12-17 ปี สามารถฉีดครึ่งโดสได้ ดังนั้น ผู้ปกครองที่พาบุตรหลานไปฉีดวัคซีนสามารถระบุขนาดได้ทันทีว่าต้องการให้ฉีดครึ่งโดส หรือเต็มโดส

โฆษก ศบค.กล่าวอีกว่า ส่วนคำแนะนำการให้วัคซีนโควิด-19 เข็มกระตุ้นกลุ่มอายุ 12 ปีขึ้นไป แนะนำให้เด็กอายุ 12-17 ปี ที่ได้รับวัคซีน 2 เข็ม เข้ารับวัคซีนไฟเซอร์ เข็มกระตุ้นเป็นเข็มที่ 3 ขนาดโดสปกติ หรือครึ่งโดส มีระยะห่างจากเข็มที่ 2 เป็นระยะเวลา 4-6 เดือน โดยให้เป็นไปตามความสมัครใจของผู้ปกครอง และแนะนำให้นักเรียน/นักศึกษา อายุ 12 ปีขึ้นไป ที่มีประวัติได้รับวัคซีนไฟเซอร์ ครบ 2 เข็ม ให้ได้รับเข็มกระตุ้นด้วยไฟเซอร์ขนาด 15 ไมโครกรัม หรือครึ่งโดส ผ่านระบบสถานศึกษา

“ส่วนแนวทางการให้วัคซีนโควิด ฉีดเป็นเข็มที่ 1, 2 และเข้มกระตุ้น สำหรับผู้ที่มีอายุ 5-17 ปี ผู้ปกครองสามารถเลือกวัคซีนให้บุตรหลานได้หลากหลาย เพราะมีให้เลือกทั้งวัคซีนซิโนแวค ซิโนฟาร์ม ไฟเซอร์ฝาสีส้ม และไฟเซอร์ฝาสีม่วง นอกจากนี้ ที่ประชุมรับทราบความก้าวหน้าการดำเนินการรับวัคซีนจากต่างประเทศ และการบริจาควัคซีนให้แก่ต่างประเทศ ดังนี้ การรับบริจาควัคซีนจากต่างประเทศ คือ Covovax ที่ได้รับบริจาคจากประเทศอินเดีน จำนวน 200,000 โดส และบริจาควัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าให้ประเทศเอธิโอเปีย จำนวน 1 ล้านโดส ประเทศอัฟกานิสถาน 500,000 โดส และประเทศยูกันดา 500,000 โดส

“ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าการพิจารณาข้อบ่งใช้ Long Acting Antibody (LAAB) โดยจะนำมาฉีดให้กับผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ รวมประมาณ 500,000 ราย ประกอบด้วย ผู้ป่วยมะเร็ง โรคไตเรื้อรัง โรคข้ออักเสบและแพ้ภูมิตนเอง ปลูกถ่ายอวัยวะ และผู้ป่วยภูมิคุ้มกันต่ำอื่นๆ เช่น ผู้ป่วย HIV ที่มีเม็ดเลือดขาว CD4 ต่ำ และ ผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกันจากโรคอื่นๆ ซึ่งที่ประชุมเห็นชอบงบประมาณเพื่อนำไปใช้ฉีดให้กับผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำต่อไป” นพ.ทวีศิลป์กล่าว

นพ.ทวีศิลป์กล่าวต่อว่า ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านการท่องเที่ยวและกีฬา (ศปก.กก.) รายงานจำนวนนักท่องเที่ยว พบว่าในปี 2564 มีนักท่องเที่ยวเข้ามา 427,869 คน ส่วนปี 2565 ตั้งแต่เดือนมกราคม-19 เมษายน มีนักท่องเที่ยวเข้ามา 646,812 คน เมื่อเปรียบเทียบแล้วจะเห็นว่าจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างมาก ดังนั้น การปรับมาตรการมีความสำคัญอย่างยิ่งที่จะนำไปสู่การดึงเม็ดเงินมาจากนักท่องเที่ยว โดยที่ประชุมหารือร่วมกันว่าจะเพิ่มนักท่องเที่ยวอย่างไร เมื่อดูรายงานจำนวนผู้ติดเชื้อที่มาจากต่างประเทศ จำแนกตามประเภท พบข้อมูลดังนี้ กุมภาพันธ์ มีนักท่องเที่ยวเข้ามา 203,970 คน ติดเชื้อ 4,597 คน คิดเป็น 2.25% มีนาคม มีนักท่องเที่ยวเข้ามา 273,133 คน ติดเชื้อ 1,584 คน คิดเป็น 0.58% เมษายน มีนักท่องเที่ยว 275,559 คน ติดเชื้อ 1,364 คน คิดเป็น 0.49% จะเห็นว่าตัวเลขคนติดเชื้อที่มาจากต่างประเทศ น้อยกว่าจำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศ

“ที่ประชุมเห็นชอบการปรับมาตรการการเดินทางเข้าราชอาณาจักร โดยต่อไป จะไม่มี Test&Go แล้ว แต่จะแบ่งเป็น การเดินทางสำหรับผู้เดินทางที่ได้รับวัคซีนตามเกณฑ์ และผู้เดินทางที่ไม่ได้รับวัคซีนตามเกณฑ์ หรือได้รับแต่ไม่ครบ ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2565 ดังนี้ 1.ผู้เดินทางที่ได้รับวัคซีนตามเกณฑ์ ลงทะเบียนผ่านระบบ Thailand Pass ยกเลิกการตรวจเมื่อมาถึง มีวงเงินประกันหรือประกันรูปแบบอื่นๆ จำนวน 10,000 USD ยกเลิกการตรวจเมื่อเดินทางมาถึง แนะนำให้ตรวจ Self-ATK ระหว่างพำนัก หากพบเชื้อให้เข้าสู่กระบวนการตามประกันภัยหรือตามความรับผิดชอบส่วนบุคคล กรณีเป็นผู้เสี่ยงสูง ให้กักตัว 5 วัน สังเกตอาการ 5 วัน แนะนำให้ตรวจ ATK วันที่ 5 และ 10 หลังสัมผัสผู้ติดเชื้อ

นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค.

“และ 2.ผู้เดินทางที่ไม่ได้รับวัคซีน หรือได้รับแต่ไม่ครบตามเกณฑ์ ลงทะเบียนผ่านระบบ Thailand Pass มีวงเงินประกันหรือประกันรูปแบบอื่นๆ จำนวน 10,000 USD สามารถยื่นหลักฐานผลตรวจ RT-PCR ไม่เกิน 72 ชั่วโมง ก่อนเดินทางมาถึงประเทศไทย และลงทะเบียนแสดงหลักฐานดังกล่าวในระบบ Thailand Pass ก็จะสามารถเดินทางเข้าราชอาณาจักรได้เช่นเดียวกันกับผู้เดินทางที่ได้รับวัคซีนครบตามเกณฑ์ หรือกักตัวตามระบบ AQ โดยตรวจ RT-PCR วันที่ 4-5 แนะนำให้ตรวจ Self-ATK ระหว่างพำนัก หากพบเชื้อให้เข้าสู่กระบวนการตามประกันภัยหรือตามความรับผิดชอบส่วนบุคคล” นพ.ทวีศิลป์กล่าว

โฆษก ศบค.กล่าวว่า สำหรับผู้เดินทางเข้าราชอาณาจักร ผ่านช่องทางผ่านแดนทางบกของกระทรวงมหาดไทย (เฉพาะจุดผ่านแดนถาวร) แบ่ง 2 กลุ่ม ดังนี้ 1.ผู้ที่มีสัญชาติไทย แบ่งเป็น ผู้ที่ฉีดวัคซีนครบ นำใบรับรองในการเดินทางเข้าราชอาณาจักรไทย มีเอกสารฉีดวัคซีน ตรวจ Self-ATK หากผลเป็นลบไม่ต้องกักตัว หากผลเป็นบวกรับการรักษาตามสิทธิ และผู้ที่ฉีดวัคซีนไม่ครบ ให้นำใบรับรองในการเดินทางเข้าราชอาณาจักรไทย ไม่ต้องใช้เอกสารฉีดวัคซีน ให้ตรวจ Self-ATK หากเป็นลบกักตัว 5 วัน ตามที่ราชการกำหนด หากพบผลบวกให้รับการรักษาตามสิทธิ และ 2.ผู้ทึ่ไม่มีสัญชาติไทย แบ่งเป็น ผู้เดินทางแบบระยะยาวพำนักอยู่ไทยมากกว่า 2 วัน ฉีดวัคซีนครบ ลงทะเบียนผ่านระบบ Thailand Pass มีเอกสารฉีดวัคซีน มีประกันภัย ตรวจ Self-ATK หากผลเป็นลบไม่ต้องกักตัว หากผลเป็นบวกรักษาตามข้อตกลงของโรงแรมที่พัก มี Passport และสามารถเดินทางได้ทั่วราชอาณาจักร และผู้ที่ฉีดวัคซีนไม่ครบ ลงทะเบียนผ่านระบบ Thailand Pass ไม่ใช้เอกสารฉีดวัคซีน มีประกันภัย ตรวจ Self-ATK หากผลเป็นลบกักตัว 5 วัน หากผลเป็นบวกรักษาตามข้อตกลงของโรงแรมที่พัก มี Passport และสามารถเดินทางทั่วราชอาณาจักร ส่วนผู้ที่ไม่มีสัญชาติไทย ที่เดินทางมาระยะสั้น คือพำนักอยู่ไทยไม่เกิน 2 วัน ไม่ต้องลงทะเบียน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image