ศบค.เคาะ นทท.ต่างชาติ ไม่ฉีดวัคซีนเข้าไทยได้ ต้องตรวจโควิดก่อนเดินทาง 72 ชม.

มติ ศบค.เคาะปรับมาตรการรับนักท่องเที่ยว ปรับระบบ Thailand Pass ต่างชาติไม่ได้รับวัคซีนเข้าไทยได้ แต่ต้องตรวจ Professional ATK หรือ RT-PCR ภายใน 72 ชั่วโมงก่อนเดินทาง คงประกันชีวิตหมื่นดอลลาร์

เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. แถลงภายหลังการประชุม ศบค.ชุดใหญ่ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ว่า ที่ประชุมหารือปรับมาตรการเพื่อเดินทางเข้าราชอาณาจักร โดยทางอากาศ มีตัวเลขจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ว่ามีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาจำนวนมาก ซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดี เพราะจะเป็นเครื่องจักรในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-18 พฤษภาคม มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศไทยรวมกว่า 1 ล้านคน

ดังนั้น จึงปรับลดการตรวจดังนี้ ผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีนหรือได้รับวัคซีนไม่ครบ ให้แสดงผล Professional ATK หรือ RT-PCR ภายใน 72 ชั่วโมงก่อนเดินทาง ยกเลิกการกักตัว ในกลุ่มที่ไม่ได้รับวัคซีน หรือได้รับวัคซีนไม่ครบ หรือไม่มีการตรวจ โดยเมื่อเดินทางมาถึงสามารถตรวจ Professional ATK ได้ที่สนามบิน เพื่อที่จะให้การบริหารที่สะดวกยิ่งขึ้น ส่วนการปรับการลงทะเบียน Thailand pass ให้ลงทะเบียนก่อนเข้ามาเฉพาะชาวต่างชาติ ส่วนคนไทยไม่ต้องลงทะเบียน เพราะจะมีระบบตรวจสอบได้ และมีการปรับรูปแบบการลงทะเบียนให้ง่ายขึ้น เพื่อความสะดวก แต่ยังขอให้มีการประกันสุขภาพที่ 1 หมื่นดอลลาร์สหรัฐ เพราะการประกันสุขภาพยังเป็นสิ่งสำคัญมากกรณีมาเจ็บป่วยที่ประเทศไทย

นพ.ทวีศิลป์กล่าวต่อว่า สำหรับมาตรการรองรับผู้เดินทางผ่านพรมแดนทางบก มีแผนการผ่อนปรนมาตรการเข้าประเทศเพื่อรองรับ Endemic Approach เริ่ม 1 มิถุนายน มีรายละเอียดดังนี้ ผู้ที่มีสัญชาติไทย ใช้ Passport หรือ Border Pass เป็นเอกสารผ่านแดน ส่วนระบบคัดกรอง จะคัดกรองโดยดูหลักฐานการฉีดวัคซีน ส่วนการกักตัวและการตรวจ จะไม่มีการกักตัว กรณีฉีดวัคซีนครบ หรือไม่ฉีดวัคซีน แต่มีผล Pro ATK/PCR ภายใน 72 ชั่วโมง กรณีไม่ฉีดวัคซีนและไม่มีผลตรวจ ให้ตรวจโดยใช้ Pro ATK ส่วนผู้ที่ไม่สัญชาติไทย ใช้ Passport และ Border Pass เป็นเอกสารผ่านแดน ส่วนระบบคัดกรอง จะคัดกรองอาการ และลงระบบเข้าประเทศ ส่วนการกักตัวและการตรวจ ผู้ที่ไม่มีสัญชาติไทยหากจะเข้าแดน จะต้องฉีดวัคซีนครบถ้วนเท่านั้น

นพ.ทวีศิลป์กล่าวต่อว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบผ่อนคลายการเดินทางระหว่างประเทศในกลุ่มข้าราชการและนักเรียน เดิมที่ห้ามข้าราชการ พนักงานของรัฐ และรัฐวิสาหกิจ เดินทางไปต่างประเทศ ยกเว้นมีเหตุจำเป็นสำคัญ ในส่วนบุคลากรภาครัฐและนักเรียนที่อยู่ในความดูแลของสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) หากอยู่ระหว่างการเตรียมตัวเดินทางไปศึกษาต่อต่างประเทศ หรืออยู่ระหว่างศึกษาแต่ขณะนี้พำนักอยู่ในประเทศไทย ให้ระงับการเดินทางออกไปจนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง โดยเห็นชอบให้ปรับเป็น ยกเลิกการห้ามเดินทางระหว่างประเทศของข้าราชการ บุคลากรของรัฐ และนักเรียนทุน

Advertisement

“ส่วนแผนบริหารวัคซีนโควิด-19 จากผลการให้บริการวัคซีนโควิด-19 ในกลุ่มเป้าหมายหลัก เดือนมีนาคม ผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป มี 12,704,543 คน ฉีดเข็ม 1 10,710,699 คน เข็ม 2 10,180,900 คน และเข็มที่ 3 5,474,565 คน ส่วนเด็กที่มีอายุ 5-11 ปี มี 5,150,082 คน ฉีดเข็ม1 2,902,362 คน เข็มที่ 2 1,260,757 คน ส่วนแผนการบริหารจัดการวัคซีน เดือนมิถุนายน มีรายละเอียดดังนี้ ผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ที่ไม่เคยได้รับวัคซีน (เข็ม 1 และ2) และผู้ที่เคยติดเชื้อ ใช้สูตรแอสตร้าเซเนก้า-แอสตร้าเซเนก้า หรือแอสตร้าเซเนก้า-ไฟเซอร์ จำนวนวัคซีน 0.4 ล้านโดส ผู้ที่มีอายุ 12-17 ปี ที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีน (เข็ม 1 และ 2) และผู้ที่เคยติดเชื้อ ใช้สูตรไฟเซอร์-ไฟเซอร์ (ฝาม่วง), ซิโนแวค-ไฟเซอร์ หรือซิโนแวค-ซิโนแวค-ไฟเซอร์ จำนวนวัคซีน 0.1 ล้านโดส เด็กอายุ 5-11 ปี (เข็ม 2 และเข็ม 1 เก็บตก) ใช้สูตรไฟเซอร์-ไฟเซอร์ (ฝาสีส้ม),

ซิโนแวค-ไฟเซอร์ หรือซิโนแวค-ซิโนแวค-ไฟเซอร์ จำนวน 1 ล้านโดส และเข้มกระตุ้นในผู้ที่ได้รับวัคซีนตามเกณฑ์ คือผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ผู้ที่มีอายุ 18-59 ปี และผู้ที่มีอายุ 12-18 ปี ใช้สูตร เข็มตาย 2 เข็ม ต่อด้วยแอสตร้าเซเนก้า-แอสตร้าเซเนก้า หรือฉีดเชื้อตาย 2 เข็ม ต่อด้วยไฟเซอร์-ไฟเซอร์ หรือซิโนแวค-แอสตร้าเซเนก้า-แอสตร้าเซเนก้า-แอสตราเซเนก้า หรือใช้แอสตร้าเซเนก้า-แอสตร้าเซเนก้า-ไฟเซอร์-ไฟเซอร์ จำนวน 3.5 ล้านโดส” นพ.ทวีปศิลป์กล่าว

นพ.ทวีศิลป์กล่าวต่อว่า ที่ประชุมเห็นชอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดซื้อ Long Acting Anti body (LAAB) หลังจากที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รายงานถึงประสิทธิภาพการใช้ว่าสามารถนำมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ที่ประชุมเห็นชอบแนวทางการบริหารจัดการวัคซีนโควิด-19 ของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอ ดังนี้ ขยายสัญญาการส่งมอบวัคซีน แอสตร้าเซนเนก้า และไฟเซอร์ จากภายในปี 2565 เป็นปี 2565-2566 และเสนอแอนติบอดี้ออกฤทธิ์ยาวทดแทนการจัดหาวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าบางส่วนภายใต้วงเงินเดิมที่ได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) นอกจากนี้ที่ประชุมมีมติขยายระยะเวลาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วราชอาณาจักร (ครั้งที่ 18) เป็นระยะเวลา 2 เดือน (1 มิถุนายน-31 กรกฎาคม) เพื่อให้มีการคงไว้ซึ้งบรรดามาตรการป้องกันและควบคุมโรคติดต่อไปจนกว่าจะผ่านเกณฑ์การประเมินการเป็นโรคประจำถิ่นตามที่ฝ่านสาธารณสุขกำหนด

Advertisement

“เมื่อผ่อนคลายมาตรการต่างๆ แล้วถือเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ที่จะเห็นภาพตัวเลขการติดเชื้อเพิ่มขึ้นหรือจะลดลง เพราะเราเปิดทั้งภาคการศึกษา และผ่อนคลายสถานบันเทิงและสถานบริการ นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบถึงตัวเลขการเปิดสถานศึกษา มาตรการการกำกับดูแล ซึ่งนายกรัฐมนตรีเห็นถึงความมั่นใจในการเปิดภาคเรียนของไทย นอกจากนี้ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา การรายงานผลการเดินทางเข้ารายอาณาจักร โดยมีมากถึง 1,106,103 คน ถือเป็นตัวเลขที่มากกว่าปีที่ผ่านมา และยังพบนักท่องเที่ยวต่างชาติ 5 อันดับแรก คือ สิงค์โปร์ อินเดีย มาเลยเซีย และ เวียดนาม ที่เดินทางเข้ามาเที่ยวประเทศจำนวนมาก ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีขอขอบคุณทุกฝ่ายที่ขับเคลื่อนประเทศไทยไปอย่างดี” นพ.ทวีศิลป์กล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image