เมื่อวันที่ 18 มีนาคม นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงการรักษาพยาบาลผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19 ในโรงพยาบาลเอกชน ว่า สืบเนื่องจากประกาศของ สธ.ที่กำหนดว่า โรคไวรัสโคโรนา 2019 เป็นผู้ป่วยฉุกเฉิน และมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 5 มีนาคมที่ผ่านมา ในประกาศจะมีกำหนดชื่อโรคและกำหนดว่า สถานพยาบาลเอกชนทุกแห่งจะต้องระดมทรัพยากรมาช่วยดูแลประชาชน รวมถึงจัดระบบส่งต่อที่เป็นมาตรฐาน เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนและการเข้าถึงการรักษาพยาบาลของประชาชน ขณะนี้ได้นำเข้าศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน (Emergency Operation Center: EOC) และมีมติว่า
1.หากประชาชนที่ป่วยเป็นโรคไวรัสโคโรนา 2019 ที่เป็นโรคติดต่ออันตราย ถือเป็นผู้ป่วยฉุกเฉินตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สถานพยาบาล ซึ่งต้องได้รับการรักษาพยาบาล หลักคือ ขอให้เลือกรักษาพยาบาลตามสิทธิ์ก่อน เช่น สิทธิประกันสังคม หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) สิทธิสวัสดิการของราชการ แต่อย่างไรก็ตาม หากมีความจำเป็นหรือมีภาวะฉุกเฉินก็สามารถใช้สิทธิที่ใดก็ได้รวมถึงสถานพยาบาลเอกชน
2.เงื่อนไขของค่าใช้จ่ายของสถานบริการเอกชนมีดังนี้ 1.กรณีผู้ป่วยต่างชาติจะต้องใช้สิทธิประกันของผู้ป่วยเองไม่สามารถใช้สิทธิกรณีฉุกเฉินนี้ 2.กรณีประชาชนคนไทยใช้การรักษาในสถานพยาบาลเอกชนกรณีมีประกันสุขภาพเอกชน ก็ให้ใช้สิทธิประกันสุขภาพเอกชนก่อน ส่วนที่เหลือจะเป็นการสนับสนุนจากภาครัฐบาล 3.กรณีประชาชนคนไทยที่ไม่มีประกันสุขภาพเอกชน ให้ใช้กลไกลแนวทางในการจ่ายคล้ายกับการป่วยฉุกเฉิน โดยจะต้องหารือกับ 3 กองทุน ว่า ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจะใช้จากกองทุนหรือจะใช้งบกลาง
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
“ขณะนี้หลักการกำหนดเช่นนี้ และ สธ.ได้รับมอบหมายให้ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ ตั้งคณะทำงานยกร่างรายละเอียดแนวทางการจ่าย ดังนั้นจึงมี 2 เรื่อง คือ 1.ประชาชนผู้ที่เจ็บป่วยให้กระจายไปใช้สิทธิตามที่ตนเองมีก่อน เพื่อป้องกันการไปแออัดในบางพื้นที่ แต่หากจำเป็นจึงไปในสถานพยาบาลเอกชน 2.ขอความร่วมมือสถานพยาบาลเอกชน เก็บค่าใช้จ่ายที่ใช้รักษาผู้ป่วยไว้ เพื่อมาเบิกกับรัฐบาลเมื่อหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายผ่านความเห็นคณะรัฐมนตรี (ครม.) ออกมา ก็ให้นำค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้เก็บจากประชาชนนำมาเรียกเก็บตามเงื่อนไขนั้น” นพ.ธเรศ กล่าว
