ศบค.ยันยา ‘ฟาวิพิราเวียร์’ มีพอ ชง ‘บิ๊กตู่’ ตั้งศูนย์จัดการโควิด-19 กทม.-ระดับเขต
เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) กล่าวถึงประเด็นยาฟาวิพิราเวียร์ ระหว่างแถลงสถานการณ์โรคโควิด-19 ว่าข้อมูลล่าสุดเมื่อวันที่ 3 พ.ค. มียาคงเหลือในคลัง 1,621,631 เม็ด ซึ่งอยู่ในคลังขององค์การเภสัชกรรมกว่า 1 ล้านเม็ด สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขอีก 2 แสนกว่าเม็ด ซึ่งหมายถึงการบริหารในส่วนจังหวัด กรมการแพทย์อีก 1.7 แสนเม็ด กรมควบคุมโรค 4.8 หมื่นเม็ด ซึ่งจะมีการสั่งมาจากประเทศญี่ปุ่นอีก 2 ล้านเม็ดเพิ่มเติม จะมาถึงภายในวันที่ 12 พ.ค. เป็นความมั่นคงทางยาที่ภาครัฐต้องเตรียมไว้ให้
“สิ่งที่มีข่าวว่ายาไม่พอ ก็ขอยืนยันตรงนี้ ขณะเดียวกันวัคซีนป้องกันโควิด-19 ก็จัดสรรไปแล้ว 2.5 ล้านโดส จากวัคซีนซิโนแวคและแอสตร้าเซนเนก้า” นพ.ทวีศิลป์กล่าว
โฆษก ศบค.กล่าวถึงกรณีการประชุม ศบค.นัดพิเศษเมื่อวันที่ 3 พ.ค.ที่ผ่านมา ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะ ผอ.ศบค. ได้นัดประชุมนัดพิเศษเพื่อให้หน่วยงานต่างๆ ที่เชื่อมโยงกรุงเทพฯและปริมณฑลได้เข้ามาหารืออย่างเร่งด่วน โดยมี 2 ประเด็นใหญ่ คือ
1.มีการแต่งตั้งคณะกรรมการ 1 ชุด เพื่อบูรณาการทำงานโควิด-19 ที่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯและปริมณฑล ซึ่งถือเป็นงานใหญ่เพราะติดเชื้อเกินกว่าครึ่ง และยกระดับมาตรการ โดยได้ตั้งชื่อว่า “ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์โควิด-19 กรุงเทพฯและปริมณฑล” โดยท่านนายกฯจะเป็นผู้อำนวยการศูนย์นี้ ซึ่งรายละเอียดจะมีการนำเสนอต่อท่านนายกฯ
2.มีการหารือถึงโครงสร้างของศูนย์ที่อยู่ในกรุงเทพฯที่มีอยู่ 50 เขต จึงต้องมี “ศูนย์ควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ระดับเขต” ซึ่งมี ผอ.เขตเป็นผู้อำนวยการศูนย์ จะเหมือนกับจังหวัดต่างๆ ที่มีผู้ว่าราชการจังหวัดและมีนายอำเภอ เป็นต้น โดยจะมีการแบ่งปฏิบัติการเป็นฝ่ายต่างๆ เช่น อำนวยการ ฝ่ายตรวจปฏิบัติการเชิงรุก ฝ่ายบริหารจัดการผู้ติดเชื้อและกลุ่มเสี่ยง ฝ่ายจัดการพื้นที่ ฝ่ายบริหารจัดการการฉีดวัคซีน เป็นต้น นี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้น เพราะประชากรในกรุงเทพฯ รวมประชากรแฝงอีก 10 ล้านคน จึงต้องมีการวางแผนทั้งหมด
