โควิดลามหนัก ‘สาธิต’ ย้ำดูแลตัวเองให้ดี-ฉีดวัคซีนควบคู่ หากประมาทระลอก 4 มาแน่

โควิดลามหนัก ‘สาธิต’ ย้ำดูแลตัวเองให้ดี-ฉีดวัคซีนควบคู่ หากประมาทระลอก 4 มาแน่

สถานการณ์โควิด-19 ที่กำลังระบาดไปทั่วทุกพื้นที่ ขณะที่ประชาชนล้วนแต่เผชิญ ความเครียดกังวล ซึ่งดูเหมือนว่าโควิดระลอกนี้ยังไม่มีท่าทีจะยุติในช่วงเวลาอันใกล้ และไม่มีใครรู้ได้เลยว่า ฝันร้ายครั้งนี้จะจบลงเมื่อใด

รายการ “ถกไม่เถียง” ทางช่อง 7HD (วันที่ 27 พฤษภาคม 2564) ที่ดำเนินรายการโดย ทิน โชคกมลกิจ ได้เชิญ นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข และ นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย มาพูดคุยกันในรายการ

นายสาธิต กล่าวว่า “โควิด-19 เป็นโรคระบาดที่ติดจากคนสู่คน การที่จะให้เขากักตัวอยู่บ้านอาจมีปัญหา ต้องพาตัวเข้าสู่การรักษาเพื่อไม่ให้มีการแพร่เชื้อสู่บุคคลอื่น ถ้าไม่มีอาการก็ให้ไปโรงพยาบาลสนาม หรือ ถ้ามีอาการน้อยก็ส่งไป Hospitel แต่ถ้าอาการหนักก็ต้องเข้าดูแลใน ICU ที่โรงพยาบาล สำหรับคนที่พบว่าตัวเองเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง ต้องกักตัวเองอยู่ที่บ้าน เพื่อรอผลตรวจ หรือถ้าทราบผลตรวจแล้วไม่ติดเชื้อ ก็ต้องกักตัวอยู่ที่บ้านเพื่อรอดูอาการเช่นกัน

สำหรับ โควิด-19 เป็นโรคระบาดที่มีคนติดเชื้อจำนวนมาก แค่ศักยภาพของโรงพยาบาล อาจจะไม่เพียงพอ จึงต้องมีการสร้างโรงพยาบาลสนามขึ้นมา ซึ่งโรงพยาบาลสนามไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในครั้งที่มีโรคระบาดเกิดขึ้น เพราะเป็นสถานที่ที่สามารถรวมผู้ติดเชื้อมาอยู่ด้วยกันได้ ในพื้นที่โล่งโปร่ง ระบายอากาศได้ดี และทำให้แพทย์สามารถดูแลรักษาได้ง่าย อย่างโรงพยาบาลสนาม ในต่างจังหวัด จะเหมือนการไปเข้าค่าย ทุกคนให้ความร่วมมือ ต้องเข้าใจว่าเราเป็นผู้ติดเชื้อ ไม่ได้ไปเที่ยว ความสะดวกสบายอาจจะไม่มากนัก คิดว่าเป็นการไปเข้าค่าย เพื่อพบปะผู้คนใหม่ๆ และได้รักษาตัว มีการไปทำกิจกรรมออกกำลังกายด้วยกัน ทุกคนเท่าเทียมกัน ทั้งคนรวย คนจน ทำให้รู้จักเพื่อนมากขึ้น พอหายป่วยเขาก็มีการขอบคุณพยาบาล สร้างความทรงจำที่ดี”

Advertisement

ส่วนประเด็นการกักตัวที่บ้าน นายสาธิต ระบุว่า ถ้ามีผู้ติดเชื้อมากขึ้น จำนวนเตียงไม่เพียงพอ เรามีแนวทางกักตัวอยู่บ้าน (Home Isolation) ที่ออกแบบเอาไว้แล้ว แต่กรณีนี้ยังมีจุดอ่อนบางส่วน หากถึงจุดที่ต้องใช้วิธีการนี้ เราก็มีแผนรองรับอยู่แล้ว ส่วนเรื่องหากพบผู้ติดเชื้อในโรงงาน ผู้ประกอบการสามารถสั่งปิดโรงงานของตัวเองได้ แต่ก็ต้องแจ้ง เจ้าหน้าที่ให้ตรวจสอบตามมาตรการที่ถูกต้อง

ด้าน นพ.สุวรรณชัย อธิบดีกรมอนามัย ให้ข้อมูลเกี่ยวกับข้อปฏิบัติของผู้ติดเชื้อ และเล่าถึงกิจกรรมในโรงพยาบาลสนามให้ฟังว่า “เบื้องต้น เราต้องทำความเข้าใจให้ชัดว่าเราติดเชื้อ แล้วหรือยัง หรือเราแค่มีความเสี่ยง ถ้าเราสัมผัสใกล้ชิดคนติดเชื้อคือเรามีความเสี่ยงสูง แต่ถ้าเราสัมผัสห่างๆ คือมีความเสี่ยงต่ำ แต่ถ้าเราไปสัมผัสคนที่ไปสัมผัสผู้ติดเชื้ออีกที คือเราไม่มีความเสี่ยง หรือถ้าเราไปอยู่ในพื้นที่เสี่ยง แต่ไม่ได้สัมผัสผู้ติดเชื้อ ให้เราเฝ้าระวังตัวเอง ยังคงไปไหนมาไหนได้ แต่เราต้องเข้มเรื่องการป้องกันให้เคร่งครัด ลดการเดินทางที่ไม่จำเป็น และลดการติดต่อกับผู้อื่น แต่อย่างไรก็ตามถ้ารู้ตัวว่าเสี่ยง ก็ควรไปตรวจ

สำหรับคนที่ถูกส่งไปโรงพยาบาลสนาม จะเป็นคนติดเชื้อที่ไม่แสดงอาการ หรือมีอาการน้อย โรงพยาบาลสนามมีวัตถุประสงค์คือตัดวงจรระบาดของเชื้อ กับดูแลรักษาผู้ป่วย ดังนั้นใครที่ไปอยู่ โรงพยาบาลสนาม มีสิ่งที่ต้องทำ 8 เรื่อง คือ 1. ประเมินสุขภาพ วัดไข้ วัดสัญญาณชีพ วัดระดับค่าออกซิเจนในเลือด 2. ดูแลสุขอนามัย 3. การควบคุมอาหารการกิน 4. มีกิจกรรมทางกาย ที่เหมาะสม 5. จัดการด้านโภชนาการ 6. เตรียมความพร้อมฝึกขยายปอด ฝึกกล้ามเนื้อ 7. การจัดการ ความเครียด และ 8. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ซึ่งเราจะนำทั้ง 8 กิจกรรมนั้นมาเรียงเป็นตารางทั้งวัน ว่าต้องทำอะไรบ้าง ทั้งนี้ในโรงพยาบาลสนาม ต้องมีการควบคุมเรื่องการรับประทานอาหาร ญาติพี่น้องไม่สามารถเอาอาหารมาเยี่ยมได้ เพราะอาจทำให้เกิดความแตกต่าง หรือทำให้เกิด โรคทางเดินอาหารขึ้นมาได้”

นพ.สุวรรณชัย ยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกด้วยว่า “ถ้าผู้ป่วยในโรงพยาบาลสนาม มีอาการเพิ่มขึ้น แพทย์ พยาบาล จะรีบนำส่งโรงพยาบาล สิ่งหนึ่งที่ในโรงพยาบาลสนามจะทำ คือการตรวจเอ็กซเรย์ปอดอย่างต่อเนื่อง ประเมินร่างกาย หากมีการพร่องออกซิเจน แสดงว่าอาจมีภาวะ เชื้อลงปอด ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาล

ส่วนประเด็นที่ว่าหากพบผู้ติดเชื้อในโรงงาน นพ.สุวรรณชัย เผยว่า “ตามปกติแล้ว ถ้าโรงงานไหนเจอผู้ติดเชื้อ โรงงานจะต้องมีแผนงานรองรับเตรียมพร้อมเอาไว้ ถ้าเกิดรัฐพิจารณาแล้วว่า โรงงานนั้นมีความเสี่ยง ก็สามารถแจ้งปิดโรงงานนั้นได้ โดยผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้สั่งการ เหตุผลเพราะต้องการลดการเคลื่อนย้ายของแรงงาน, ลดการแออัด และนำแรงงานไปตรวจค้นหาเชื้อต่อไป ในบางกลุ่มของโรงงาน พนักงานมีที่พักอยู่ในโรงงาน เขาจะต้องทำตัวเองเหมือนกับอยู่ในฟองอากาศ ตลอดเวลา เวลาเดินทางออกไปภายนอกจะต้องไม่ไปสัมผัสกับใคร โรคนี้มันบอกอยู่แล้ว ว่าเป็นโรคที่ติดและต่อ มันเกิดจากการที่คนสัมผัสกัน ถ้าลดการติดต่อพบเจอก็จะลดไปได้แล้วครึ่งหนึ่ง ยิ่งถ้าลดการเดินทางเคลื่อนย้ายก็จะสามารถลดได้ดีมากยิ่งขึ้น ดังนั้นต้องใช้มาตรการทางสาธารณสุข และมาตรการทางสังคมควบคู่กัน”

ขณะที่ประเด็นการเกิดการระบาดในรูปแบบคลัสเตอร์ตามพื้นที่ต่างๆ และมาตรการรับมือนั้น นายสาธิต เผยว่า มาตรการหลักในการป้องกันรับมือคลัสเตอร์ คือการลดกิจกรรมการเจอกัน นอกจากนั้นต้องมีความร่วมมือของพี่น้องประชาชน ส่วนมาตรการ ในการแก้ไขก็เป็นระบบของกรมควบคุมโรค ซึ่งที่ผ่านมาทั้งหมด ก็มีความแตกต่างในแต่ละคลัสเตอร์ เช่น คลัสเตอร์ชุมชนคลองเตย จะใกล้เคียงกับสมุทรสาคร มีนโยบายในการซีลบับเบิล สำคัญเลยคือ ห้ามเข้า-ออกแม้แต่คนเดียว ที่สมุทรสาครเราอาจจะทำได้ แต่คลองเตยจะมีความต่าง เราไม่สามารถกันคน 60,000-70,000 คนได้ทั้งหมด ดังนั้นเราจึงต้องเอาคนที่มีความเสี่ยงออกมา แล้วมีการฉีดวัคซีนในชุมชน

ส่วนคลัสเตอร์ในเรือนจำยังดีเพราะมันมีรั้วรอบขอบชิด คนที่มีอาการหนักก็ส่งเข้าโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ส่วนคนอาการไม่เยอะ ก็เข้าโรงพยาบาลสนามในเรือนจำ ซึ่งนโยบายการควบคุมโรค ซึ่งการจัดการเพื่อไม่ให้มีการแพร่กระจายเชื้อในคลัสเตอร์ต่างๆ ต้องขึ้นอยู่กับการร่วมมือของประชาชน และมาตรการของรัฐบาล เราจะพบว่าผู้ติดเชื้อโควิดที่ไม่แสดงอาการมีจำนวนมาก การตรวจเชิงรุกจึงจำเป็นมาก เพื่อที่จะดึงคนที่ติดเชื้อออกมาแล้วนำตัวไปเข้าสู่กระบวนการดูแลรักษา การตรวจเชื้อเชิงรุกจึงมีความสำคัญ เราจะพบว่าผู้ติดเชื้อจำนวนมากไม่แสดงอาการ เขาอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าเขาติดเชื้อ ดังนั้นการค้นหาเชิงรุกจึงสำคัญเท่ากับการควบคุม ต้องทำควบคู่กันไป

“วันนี้เราอาจจะไปสนใจเรื่องการฉีดวัคซีนมากเกินไป จนละเลยมาตรการการป้องกันตัวเอง ดีที่สุดคือต้องควบคุมโรค ดูแลตัวเองและฉีดวัคซีนควบคู่กันไป เพราะถ้ารอแค่วัคซีน เวฟที่ 4 มาแน่” นายสาธิต ระบุ

สำหรับรายการ “ถกไม่เถียง” สามารถชมย้อนหลังได้ทางเฟซบุ๊ก www.facebook.com/terodigital และยูทูบช่อง Tero Digital และรับชมรายการสด ได้ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 17.00 น. ทางช่อง 7HD กด 35 และสามารถรับฟังผ่านทาง Hitz955.com

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image