ภาคปชช.จี้นายกฯ ใช้อำนาจ ผอ.ศบค.ซื้อเอทีเค 8.5 ล้าน-สั่ง อภ.ยุติประมูล เปิดทาง สปสช.ทำเอง

ภาคปชช.จี้นายกฯ ใช้อำนาจ ผอ.ศบค.ซื้อเอทีเค 8.5 ล้าน-สั่ง อภ.ยุติประมูล เปิดทาง สปสช.ทำเอง

เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม สภาองค์กรผู้บริโภค ประกอบด้วย น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสภาองค์กรของผู้บริโภค นายนิมิตร์ เทียนอุดม กรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และ น.ส.สุภัทรา นาคะผิว ประธานอนุกรรมการด้านบริการสุขภาพ สภาองค์กรของผู้บริโภค ร่วมเสวนาหัวข้อ “ควรซื้อ ATK แบบไหน?” พร้อมออกเอกสารเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี ใช้อำนาจในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) จัดซื้อชุดตรวจแอนติเจน เทสต์ คิท หรือ เอทีเค ที่มีคุณภาพ และยับยั้งการจัดซื้อเอทีเคที่ไม่มีคุณภาพ

ทั้งนี้ เอกสารดังกล่าวระบุว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ที่มีตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นทุกวันนั้น คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) จึงมีมติให้จัดซื้อชุดตรวจ Rapid Antigen Test หรือ Antigen Test Kit (ATK) จำนวน 8.5 ล้านชุด เพื่อแจกจ่ายให้ประชาชนได้ตรวจเชื้อโควิด-19 ด้วยตนเอง โดยคณะทำงานกำหนดอัตราค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุข และ สปสช. ได้กำหนดคุณสมบัติด้านคุณภาพชุดตรวจเอทีเค เบื้องต้นที่สำคัญ 4 ประการ 1.มีคุณภาพ ผลตรวจมีความแม่นยำสูง โดยมีความไวไม่ต่ำกว่าร้อยละ 95 และความจำเพาะไม่น้อยกว่าร้อยละ 98 2.ผ่านการรับรองจากองค์การอนามัยโลก (WHO) 3.มีงานศึกษา งานวิจัยรองรับ และผ่านการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ และ 4.สามารถจัดส่งได้ทันที เพื่อเป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดการการแพร่ระบาดรุนแรงในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล รวมทั้งประชาชนจะได้เข้าถึงบริการตรวจคัดกรองได้รวดเร็ว

ทั้งนี้ เนื่องจาก สปสช. ไม่สามารถจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ได้ด้วยตนเอง จึงต้องให้ตัวแทนเครือข่ายหน่วยบริการที่ขึ้นทะเบียนกับ สปสช. คือ โรงพยาบาล (รพ.) ราชวิถีดำเนินการจัดซื้อแทน ซึ่ง รพ.ราชวิถี มอบหมายให้องค์การเภสัชกรรม (อภ.) เป็นผู้ดำเนินการจัดซื้อเอทีเคในครั้งนี้ และพบว่า ได้มีการปรับลดเงื่อนไขลงจากที่ตั้งต้นไว้ โดยเฉพาะเงื่อนไขสำคัญ คือ ชุดเอทีเคที่จะจัดซื้อไม่ต้องผ่านการรับรองจากองค์การอนามัยโลก เหลือเพียงผ่านการขึ้นทะเบียนจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เท่านั้น
สภาองค์กรของผู้บริโภค มีความวิตกกังวลว่า หากชุดตรวจเอทีเคไม่มีคุณภาพตามที่กำหนดไว้ตั้งแต่ต้น จะทำให้เกิดผลลบลวง (False Negative) จำนวนมากขึ้น และหากพิจารณาจากประสิทธิภาพของบริษัทที่ได้รับเลือกจาก อภ.จะทำให้มีประชาชนที่มีผลลบลวงจำนวนสูงถึง 850,000 ราย รวมทั้งทำให้ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่มีผลลบลวงเหล่านี้ขาดโอกาสได้รับการดูแลรักษาพยาบาล โดยเฉพาะการได้รับยาที่จำเป็นอย่างทันการณ์และอาจมีอาการรุนแรงจนต้องเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาล สิ่งเหล่านี้ผิดไปจากวัตถุประสงค์ที่จะให้ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งไม่แสดงอาการ หรือมีอาการเล็กน้อยได้รับการดูแลแบบโฮม ไอโซเลชั่น (Home Isolation) และผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่มีผลลบลวงยังจะทำให้เกิดการแพร่กระจายของเชื้อโรคสู่ชุมชนโดยไม่รู้ตัวจนทำให้ยากต่อการควบคุมโรคให้สงบได้ ขัดกับแนวทางควบคุมโรคที่ต้องการให้มีการควบคุมโรคให้ได้ผลมากที่สุด ดังนั้น จึงต้องได้ชุดตรวจที่ให้ผลลบลวงน้อยที่สุด และมีความแม่นยำมากที่สุด

Advertisement

อย่างไรก็ตาม การปล่อยให้มีการเดินหน้าจัดซื้อเอทีเคที่มีคุณภาพต่ำ จะมีผลกระทบทั้งต่อผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่ให้ผลลบลวงและการควบคุมโรคของประเทศดังได้กล่าวข้างต้น สภาองค์กรของผู้บริโภค จึงมีข้อเสนอและการดำเนินการ ดังนี้ 1.ขอให้นายกฯ ในฐานะผู้อำนวยการ ศบค. ใช้ภาวะผู้นำในวิกฤตโควิด-19 ทบทวนการจัดซื้อเอทีเค โดยเลือกซื้อชุดตรวจที่มีคุณภาพสูงสุด และขอให้นายกฯ ใช้อำนาจในการยับยั้งการจัดซื้อเอทีเค ที่กำลังดำเนินการโดย อภ. 2ขอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติให้ สปสช.สามารถจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ได้เอง เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชนในการเข้าถึงยาและเวชภัณฑ์ที่มีคุณภาพดีราคาเหมาะสม เนื่องจากการดำเนินการของ สปสช.เป็นการดำเนินการที่มีส่วนร่วมจากทุกฝ่าย ทั้งประชาชน ผู้ประกอบวิชาชีพ หน่วยงานกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ในการจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ที่มีจำนวนมาก เพื่อต่อรองให้ได้ของที่มีคุณภาพและมีราคาที่เป็นธรรมกับประเทศ 3.สภาองค์กรของผู้บริโภค พร้อมสนับสนุนประชาชนที่ได้รับการตรวจเอทีเค และได้รับผลลบลวง ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image