เผยบูสต์เข็ม 3 โควิดเข้าชั้นผิวหนัง มีภูมิกันเดลต้าได้ดี ประหยัดขึ้น 1 ใน 5 แต่วัคซีนพอ ยังไม่ใช้วิธีนี้

เผยบูสต์เข็ม 3 โควิดเข้าชั้นผิวหนัง มีภูมิกันเดลต้าได้ดี ประหยัดขึ้น 1 ใน 5 แต่วัคซีนพอ ยังไม่ใช้วิธีนี้

เมื่อวันที่ 22 กันยายน ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ แถลงข่าวถึงวิธีการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ว่าตามที่มีกระแสข่าวว่าจะมีการฉีดวัคซีนเข้าชั้นผิวหนัง ซึ่งเป็นงานวิจัยระหว่างกรมวิทยาศาสตร์ฯ และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) ร่วมมือกันภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ที่ได้ MOU ร่วมกับ สธ. ทั้งนี้ มีผู้ที่เล่าข่าวเข้าใจเรื่องนี้คลาดเคลื่อน สิ่งที่เรานำเสนอ คือการฉีดวัคซีนทั่วไปมี 3 แบบ คือ 1.การฉีดเข้ากล้ามเนื้อ (Intramuscular) ปักเข็ม 90 องศา ตามที่เราฉีดวัคซีนโควิด-19 ฉีดทะลุชั้นผิวหนัง ชั้นใต้ผิวหนังเข้าไปถึงกล้ามเนื้อ รวมถึงวัคซีนคอตีบ บาดทะยัก ไอกรน ตับอักเสบบี วัคซีนพิษสุนัขบ้า 2.ฉีดเข้าใต้ผิวหนัง (Subcutaneous) ปักเข็ม 45 องศา เป็นการแทงทะลุผิวหนังเข้าไปในชั้นไขมันใต้ผิวหนัง เช่น วัคซีนหัด คางทูม หัดเยอรมัน ไข้ สมองอักเสบ

นพ.ศุภกิจกล่าวว่า แต่สิ่งที่เรานำเสนอคือ 3.ฉีดเข้าในชั้นผิวหนัง (Intradermal) เป็นการตั้งเข็ม 10-15 องศา ซึ่งต่างจากการฉีดเข้าใต้ผิวหนัง เป็นการแทงเข็มเข้าไปในชั้นผิวหนังความหนาโดยรวม 1 มิลลิเมตร แต่มีข้อจำกัดคือมีความลำบากกว่า 2 วิธีแรก ผู้ฉีดต้องมีทักษะ ต้องมีประสบการณ์ถึงจะฉีดได้สำเร็จ ถ้าหากฉีดทะลุเข้าใต้ผิวหนังก็จะไม่เกิดผลที่ต้องการ ทั้งนี้ มีการฉีดวัคซีนเข้าชั้นผิวหนังคือวัคซีนป้องกันวัณโรค ที่ฉีดตั้งแต่แรกเกิด วัคซีนพิษสุนัขบ้า ที่จากเดิมที่ฉีดเข้ากล้ามแต่พบว่าฉีดเข้าชั้นผิวหนัง ได้ผลเท่ากันแต่ประหยัดกว่ามาก จึงมีการปฏิบัติมาก่อนแล้ว ต้องทำความเข้าใจว่าไม่มีการฉีดใต้ผิวหนัง แต่ฉีดเข้าไปในชั้นผิวหนัง

นพ.ศุภกิจกล่าวต่อว่า หลายประเทศเริ่มคิดเรื่องนี้ เนื่องจากโดยทั่วไปการฉีดเข้าในชั้นผิวหนังที่มีเส้นเลือดมาก จะใช้จำนวนวัคซีนน้อยกว่า อาจถึง 1 ใน 5 ของปริมาณวัคซีน ซึ่งหากได้ผลเท่ากัน นั่นหมายความว่าจากที่ฉีดได้ 1 คนก็จะฉีดได้ 5 คน โดยเราใช้ในงานวิจัยคือการฉีดเข้าในชั้นผิวหนังเฉพาะบูสเตอร์โดสเป็นเข็ม 3 ของผู้ที่ฉีดวัคซีนซิโนแวค 2 เข็ม ทั้งนี้ มีการนำมาฉีดเทียบกันใน 3 กลุ่ม คือหลังจากฉีดเข็ม 2 ครบ 4-8 สัปดาห์ จะนำมาฉีดเข็ม 3 ด้วยการฉีดเข้ากล้ามเนื้อแบบเดิม อีกจำนวนหนึ่งจะฉีดเข้าในชั้นผิวหนัง และมีอีกกลุ่มคือคนที่ฉีดครบ 2 เข็มมากกว่า 8 สัปดาห์ นำมาฉีดเข้าในชั้นผิวหนังเหมือนกัน หลังจากฉีดแล้วทั้ง 3 ประเภทหลังจาก 14 วันเราเจาะเลือดดูใน 2 เรื่อง คือผลข้างเคียงซึ่งสะท้อนความปลอดภัยในระยะแรกและการเกิดภูมิคุ้มกันมากน้อยแค่ไหน

Advertisement

นพ.ศุภกิจกล่าวว่า พบว่าผลข้างเคียงถ้าฉีดเข้าในชั้นผิวหนัง จะเกิดอาการเฉพาะจุดที่ฉีดเยอะกว่าการฉีดเข้ากล้าม เช่น เกิดตุ่มแดง หรือไตแข็ง มีแดง อักเสบ ร้อนมากกว่า หมายความว่าอาการที่เกิดขึ้นบริเวณที่ฉีดเยอะขึ้น ส่วนปฏิกิริยาของร่างกาย เช่น หอบ เหนื่อย อาเจียน ปวดหัว หรืออ่อนเพลีย พบว่าการฉีดเข้าในชั้นผิวหนังน้อยลงเมื่อเทียบกับการฉีดเข้ากล้าม

“สรุปง่ายๆ คืออาการข้างเคียงเฉพาะที่ของการฉีดเข้าในชั้นผิวหนังมีมากกว่า แต่อาการทั่วไปในภาพรวมมีน้อยกว่า มีดีมีเสีย” นพ.ศุภกิจกล่าว

นพ.ศุภกิจกล่าวว่า ประเด็นของภูมิคุ้มกันแอนติบอดี้ที่มี 2 ส่วนคือ ส่วนที่ 1 คือ ภูมิคุ้มกันที่อยู่ในน้ำเลือด พบว่า ถ้าฉีดซิโนแวค 2 เข็มแล้วยังไม่ทำอะไรเลย ภูมิฯภาพรวมจะอยู่ที่กว่า 100 BAU/mL แต่เมื่อฉีดกระตุ้นไม่ว่าจะฉีดเข้ากล้ามเนื้อ หรือฉีดเข้าในชั้นผิวหนัง ทั้งในระยะเวลา 4-8 สัปดาห์ หรือหลังจากนั้นเล็กน้อย ก็จะเกิดภูมิฯ ขึ้นมาค่อนข้างใกล้เคียงกัน คือฉีดเข้ากล้ามเนื้อ 1,600 BAU/mL และฉีดเข้าในชั้นผิวหนังได้ 1,300 BAU/mL เท่ากับประหยัดวัคซีนได้มากฉีดแค่ 1 ใน 5 ก็ได้ภูมิฯค่อนข้างสูง ขณะที่สูงกับสายพันธุ์เดลต้า ปรากฏว่าการฉีดทั้ง 2 อย่างเทียบกันก็ได้ผลไม่ต่างกัน นั่นหมายความว่าการฉีดเข้าในชั้นผิวหนังสามารถจัดการกับเดลต้าได้ อย่างไรก็ตาม ระดับภูมิฯที่ฉีดเข้าในชั้นผิวหนังจะอยู่ได้นานหรือกว่าการฉีดเข้ากล้ามหรือไม่ เป็นผลการวิจัยที่ยังต้องอาศัยระยะเวลา ซึ่งอยู่ในแผนการติดตามของเราต่อไป

Advertisement

นพ.ศุภกิจกล่าวว่า มีการวิจัยหลายแห่ง คาดว่าผลจะทยอยออกมา ซึ่งจะบอกเราได้ถึงความปลอดภัยและภูมิฯขึ้นมากน้อยแค่ไหน ต้องเรียนกับประชาชนว่า วันนี้เรายังฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ในที่ประชุมอีโอซีมีมติว่ายกเว้นพื้นไหนที่ต้องการประหยัดวัคซีนและมีความพร้อม เช่น เจ้าหน้าที่ที่ฝึกทักษะมาแล้ว สามารถจัดการได้ เนื่องจากใช้เวลาต่อคนมากกว่า แต่สิ่งที่เรากังวลว่าอาการข้างเคียงของการฉีดเข้าในชั้นผิวหนังมีมากกว่าแบบเดิม หากผู้หญิงไปฉีดแล้วเกิดแผล ตุ่มหนองขึ้นมา ก็จะเกิดความดราม่าเรื่องผลข้างเคียงมากกว่า เราจึงยังไม่เอาไปใช้เป็นการทั่วไป ยังให้ฉีดเข้ากล้าม แต่วันหนึ่งหากเราจะเร่งการฉีดให้ครอบคลุมโดยเฉพาะเข็ม 3 ถ้าเราใช้การฉีดเข้าในชั้นผิวหนัง 1 ใน 5 ก็จะประหยัดวัคซีนและทำให้ครอบคุมเร็วขึ้น

ด้าน นพ.นวมินทร์ ปิ่นปฐมรัฐ อาจารย์สาขาวิชาชีวเวชศาสตร์และวิศกรรมชีวการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กล่าวว่า ภูมิคุ้มกันแอนติบอดี้ส่วนที่ 2 คือภูมิฯที่ตอบสนองต่อไวรัสในเซลล์ เราจะดู T Cell ที่ช่วยจัดการไวรัสหลังจากเข้าสู่ร่างกาย พบว่า ในผู้ที่รับซิโนแวค 2 เข็มเมื่อเอาโปรตีนหนามแหลมของไวรัสโคโรนา2019 ไปกระตุ้น ได้ภูมิฯ 30 BAU/mL เมื่อกระตุ้นด้วยแอสตร้าฯ ทั้งฉีดเข้ากล้ามเนื้อหรือฉีดเข้าในชั้นผิวหนังที่ใช้วัคซีนน้อยลง 1 ใน 5 ก็ได้ภูมิฯไม่ต่างกัน และมากกว่าการรับซิโนแวค 2 เข็มอย่างมีนัยยะสำคัญ ดังนั้น สิ่งนี้ก็จะช่วยฆ่าไวรัสที่เข้ามาในเซลล์ได้ อย่างไรก็ตาม อาการทางผิวหนังหลังการฉีดเข้าในชั้นผิวหนัง จะหายได้เองใน 7 วัน ไม่มีอาสาสมัครที่ต้องพบแพทย์ และยังไม่พบตุ่มหนอง หรือเนื้อตายในอาสาสมัคร

นพ.สุรัคเมธ มหาศิริมงคล กล่าวว่า ผลข้างเคียงที่ทำให้เกิดไข้ ในกลุ่มที่ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ พบ 30% ส่วนที่ฉีดเข้าในชั้นผิวหนังพบ 5% น้อยกว่ามาก หากเราพิสูจน์คนในหมื่นคนหากไม่พบผลข้างเคียงรุนแรงเฉพาะที่ การฉีดเข้าในชั้นผิวหนังก็เป็นทางเลือกที่ดี

ทั้งนี้ ผลศึกษาการทดสอบภูมิคุ้มกันและความปลอดภัยจากการได้รับวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 โดยทำการศึกษาในกลุ่มประชากรที่ได้รับการฉีดวัคซีนซิโนแวคแล้ว 2 เข็ม และกระตุ้นเข็มที่ 3 เป็นวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า อายุระหว่าง 18–60 ปี จำนวน 95 คน แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มแรกฉีดวัคซีนแอสตร้าฯ 1 โดส (0.5 ml.)เข้ากล้ามเนื้อ จำนวน 30 คน กลุ่มที่ 2 ฉีดวัคซีนแอสตร้าฯ 1/5 โดส (0.1 ml.) ฉีดเข้าในผิวหนัง จำนวน 31 คน (ระยะศึกษา 4-8 สัปดาห์) และกลุ่ม 3 ฉีดวัคซีนแอสตร้าฯ 1/5 โดส (0.1 ml.) ฉีดเข้าในผิวหนัง จำนวน 34 คน (ระยะศึกษา 8-12 สัปดาห์) โดยทำการศึกษาจากการตอบสนองต่อภูมิคุ้มกัน (Antibody responses) และการตอบสนองของทีเซลล์ (T cell responses)

ผลการศึกษา 14 วัน หลังจากได้รับการกระตุ้นวัคซีนเข็มที่ 3 พบว่า กลุ่มที่ 1 ฉีดวัคซีนแอสตร้าฯ 1 โดส เข้ากล้ามเนื้อ ระดับภูมิคุ้มกันเพิ่มสูงขึ้นเป็น 1,652 AU (Arbitrary Unit ) ส่วนกลุ่มที่ 2 และ กลุ่มที่ 3 ฉีดวัคซีนแอสตร้าฯ 1/5 โดส ฉีดเข้าในผิวหนัง ระดับภูมิคุ้มกันเพิ่มสูงขึ้นเป็น 1,300.5 AU (Arbitrary Unit ) จากเดิมหลังฉีดวัคซีนซิโนแวค 2 เข็ม ระดับภูมิคุ้มกันอยู่ที่ 128.7 AU (Arbitrary Unit ) นอกจากนี้ ระดับภูมิคุ้มกันในการยับยั้งการเข้าสู่เซลล์ของเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้า การกระตุ้นเข็ม ที่ 3 ด้วยวัคซีนแอสตร้าฯ ฉีดเข้าในผิวหนังสามารถยับยั้งได้ถึง 234.4 AU (Arbitrary Unit ) จากเดิมที่ฉีดซิโนแวค 2 เข็ม ยับยั้งได้ 16.3 AU (Arbitrary Unit ) ส่วนการตอบสนองของเซลล์เม็ดเลือดขาวหรือทีเซลล์ต่อโปรตีนหนามแหลมของเชื้อไวรัสโควิด -19 ซึ่งมีหน้าที่สู้กับไวรัสเมื่อไวรัสเข้าสู่เซลล์แล้ว พบว่า ทั้ง 3 กลุ่ม มีการทำงานของทีเซลล์ต่อโปรตีนหนามแหลมที่ดีขึ้นกว่าเดิมที่ฉีดซิโนแวค 2 เข็ม

สำหรับอาการข้างเคียง 7 วันหลังการได้รับวัคซีนเข็มที่ 3 พบว่า การฉีดในผิวหนังจะมีอาการแดง บวมและคัน มากกว่าการฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ส่วนการฉีดเข้ากล้ามเนื้อจะมีอาการปวดเมื่อย ปวดศรีษะ อ่อนเพลีย และหนาวสั่นมากกว่าการฉีดในผิวหนัง ข้อดีของการฉีดวัคซีนเข้าในผิวหนัง คือ มีคนที่ได้รับวัคซีนเป็นไข้ในอัตราส่วนที่ลดลงเมื่อเทียบกับการฉีดวัคซีนเข้ากล้าม โดยที่ยังกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดีพอๆ กัน เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงวัคซีน เพราะใช้วัคซีนปริมาณน้อยกว่าการฉีดเข้ากล้ามเนื้อ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image