ทดลองขับ “ฟอร์ดเรนเจอร์ 2018” ยกเครื่องใหม่-เกียร์เทพ ระบบช่วยเหลือเพียบ

เปิดตัวไปแล้วตั้งแต่วันที่ 20 กรกฎาคมที่ผ่านมา สำหรับ New Ford Ranger 2018 Minorchange 2.0 Bi-Turbo ดูหน้าตาตอนแรก เหมือนจะไม่เปลี่ยนอะไรมาก แต่ถ้าพินิจดูดีๆก็เปลี่ยนไม่น้อย ถ้าว่าด้วยเรื่องการขับขี่ กำลังของเครื่องยนต์ และระบบส่งกำลังของรถ ก็นับว่าเปลี่ยนมากเลยทีเดียวเพราะยกใหม่หมด รวมถึงเทคโนโลยีใหม่ๆ มาด้วย

ต้องบอกว่าสำหรับรถกระบะ ถือเป็นหน้าตาสำคัญสำหรับค่ายนี้เลยทีเดียว เพราะทำยอดขายได้สูงสุด โดยในปีที่ผ่านมา Ford ประเทศไทย ทำยอดขายรวมทุกรุ่นได้ 56,156 คัน อันดับ 1 ของค่ายก็คือ กระบะ Ranger ทำยอดขายได้ถึง 44,533 คัน ไต่ขึ้นมาเป็นอันดับ 3 ในตลาดรถกระบะ คาดว่านี่น่าจะเป็นสาเหตุให้ Ford ทำการเปิดตัว New Ford Ranger 2018 เพื่อดันยอดขายขึ้นไปอีก

หลังจากเปิดตัว Ford ประเทศไทย นำทัพสื่อมวลชน ไปทดสอบสมรรถนะในการขับขี่ New Ford Ranger 2018 กันถึง 2 วันที่จังหวัดเชียงราย เพื่อให้ดูว่าเครื่องและเกียร์ใหม่ของ New Ford Ranger 2018 เป็นอย่างไร โดยเฉพาะเกียร์ใหม่เป็นเกียร์ 10 สปีด ถือเป็นกระบะเจ้าแรกในเมืองไทย โดยฟอร์ดใส่เกียร์ตัวเดียวกับที่ใช้ใน F150 Ford Mustang 2018 หรือ เรนเจอร์แร็พเตอร์ เลยทีเดียว

ฟอร์ดเรนเจอร์ตัวใหม่ เปิดตัวในปีนี้ วางจำหน่ายทั้งหมด 20 รุ่น กล่าวคือสำหรับเครื่องยนต์ขนาด 2.2 ลิตรตัวเดิม Ford ก็ยังคงจำหน่ายอยู่ โดยใส่ไปในรุ่น Standard Cab Open Cab และ Double Cab ตามเดิม แต่สำหรับเครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตรเทอร์โบ ฟอร์ดออกรุ่นพิเศษเพิ่มในส่วนกระบะ 4 ประตู คือรุ่น Limited และรุ่น Wildtrak

Advertisement

โดยรุ่น Double Cab 4 ประตู เครื่อง 2.0 ลิตร เทอร์โบ Limited มีตั้งแต่รุ่น Hi-Rider เกียร์ธรรมดา 6 สปีด ราคา 899,000 บาท แต่ถ้าเป็นตัว 4 ประตู เทอร์โบ Limited Hi-Rider ขับเคลื่อน 2 ล้อหลัง เกียร์Auto 10 สปีด ราคาจะขยับมาที่ 949,000 บาท และถ้าขยับเป็นตัวขับเคลื่อน 4 ล้อ หรือรุ่น 2.0 Turbo limited 4X4 10 AT ราคาจะอยู่ที่ 1,029,000 บาท

ส่วนรุ่น Double Cab 4 ประตู Wildtrak มีให้มา 2 รุ่น คือ Double Cab 2.0 ลิตรเทอร์โบ Wildtrak Hi-Rider ขับเคลื่อน 2 ล้อหลัง เกียร์ออโต้ 10 สปีด ราคา 1,029,000 บาท ราคาเท่ากับรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อเทอร์โบเดี่ยว Limited และรุ่น Top สุด คือ Double Cab 2.0 L Bi-Turbo Wildtrak 4×4 10 AT ราคาพุ่งไปอยู่ที่ 1,265,000 บาท

ฟอร์ด เรนเจอร์ Double Cab 2.0 L Bi-Turbo Wildtrak 4×4 10 AT
รุ่น Double Cab 4 ประตู เครื่อง 2.0 ลิตร เทอร์โบ Limited

สำหรับกระบะเรนเจอร์อีกตัวหนึ่ง ที่ Ford เพิ่งเปิดตัวและสร้างความฮือฮา คือเรนเจอร์แร็พเตอร์ ราคา 1,699,000 บาท ซึ่งในที่นี้เราจะไม่พูดถึง เพราะยังไม่ได้ทดสอบขับ แต่ในข้อเขียนชิ้นนี้ จะแนะนำไปในรุ่น Limited และรุ่น Wildtrak

Advertisement

สำหรับรุ่น Limited อาจทำความเข้าใจได้ง่ายๆว่า มันเป็นเครื่อง 2.0 ลิตรที่มีเทอร์โบตัวเดียว มีทั้งขับเคลื่อน 4 ล้อและ 2 ล้อ ส่วนตัว Wildtrak รุ่น Top จะมีเทอร์โบคู่ กับตัวรองลงมาซึ่งเป็นเทอร์โบเดี่ยว

ที่น่าสนใจในกระบะฟอร์ดเรนเจอร์ตัวใหม่นี้ คือการมาพร้อมกับระบบที่ใส่ลงมาในรถกระบะเป็นครั้งแรก เช่นระบบ ช่วยเบรกอัตโนมัติ ระบบช่วยจอดอัจฉริยะ เทคโนโลยีการผ่อนแรงฝากระบะท้าย และระบบช่วยโทรฉุกเฉิน ที่จะโทรไปยัง 1669 ให้โดยอัตโนมัติหากเกิดอุบัติเหตุ

สำหรับเส้นทางที่ Ford จัดให้ทดสอบสมรรถนะที่จังหวัดเชียงราย ระยะทางรวมตลอด 2 วันประมาณ 200 กิโลเมตร มีตั้งแต่ ถนนลาดยางซึ่งเป็นถนนหลักให้ได้ทดสอบความเร็ว รวมถึงเส้นทางที่ต้องขึ้นลงเขา ช่วงดอยตุงเส้นเก่า ซึ่งเป็นทางชัน ให้ได้ทดสอบกำลัง บางจังหวะที่ผ่านถนนลูกรังก็ได้ทดสอบช่วงล่าง นอกจากนี้ยังมีเส้นทางเรียบแม่น้ำโขงที่สวยงาม แต่ก็แอบชันเล็กน้อยเพื่อให้ได้ทดสอบสมรรถนะและระบบช่วยเหลือต่างๆ รวมถึงฟอร์ดยังจัดให้มีด่านทดสอบในเรื่องเทคโนโลยีของรถ

Ford จัดให้ทดสอบสมรรถนะที่จังหวัดเชียงราย ระยะทางรวมตลอด 2 วันประมาณ 200 กิโลเมตร

มาดูกันที่รูปร่างภายนอกของรถ ถามว่าฟอร์ดเรนเจอร์ตัวใหม่เปลี่ยนอะไรบ้างคำตอบคือเปลี่ยนไม่เยอะถ้าไม่สังเกตจริงๆ ที่เปลี่ยนไปก็เช่น ไฟหน้าดีไซน์ใหม่เหมือนกับไฟของเอเวอเรสต์ โดยเพิ่มไฟ Day Time Running Light แบบแอลอีดี นอกจากนี้ยังมีแถบเส้นกลาง 2 เส้นคู่บริเวณกระจังหน้าที่เปลี่ยนไป รวมถึงกันชนหน้าดีไซน์ใหม่ ตัดแถบสีเทาเข้มออก ให้เหลือแต่ส่วนที่เชื่อมต่อกับกระจัง ส่วนไฟตัดหมอกคู่หน้าเป็นแบบแอลอีดีโดยเบ้าไฟก็ดีไซน์ใหม่ ขณะที่ด้านท้ายสติ๊กเกอร์ 4 x 4 ก็ดีไซน์ใหม่ ส่วนตัวมองดูออกจะการ์ตูนนิดๆ เช่นเดียวกับสติ๊กเกอร์เรนเจอร์ตรงฝากระบะท้าย สำหรับฟอร์ดเรนเจอร์ Limited การตกแต่งภายนอกจะเป็นแบบโครเมียม

ไฟหน้าดีไซน์ใหม่เหมือนกับไฟของเอเวอเรสต์

สำหรับ ล้อ และ ยางติดรถก็ยังคงเป็นลายเดิม ขนาดเดิม เป็นล้ออัลลอย 18 นิ้ว สีทูโทน พร้อมกับยาง Bridgestone Dueler H/T 684 II ขนาด 265/60 R18

ฟอร์ดเรนเจอร์ตัวใหม่ยังมาพร้อมกับ ระบบช่วยผ่อนแรงฝากระบะท้าย ซึ่งฟอร์ดใส่สปริงทอร์ชั่นบาร์ให้ เวลาเราปิดฝากระบะยกขึ้น มันจะช่วยผ่อนแรงให้ถึง 70 เปอร์เซ็นต์จากเดิม พูดง่ายๆก็คือใช้นิ้ว 2 นิ้วก็ยกกระบะฝาท้ายขึ้นปิดได้ อันนี้ต้องชมว่าใช้งานได้ดีจริง และเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ๆในกระบะ

สำหรับความแตกต่างด้านนอกระหว่างรุ่น Wildtrak กับรุ่น Limited เช่น จะมีไฟสว่างข้างตัวรถ สปอร์ตบาร์และราวหลังคา พื้นปูกระบะท้ายพร้อมช่องต่อไฟขนาด 12 โวลต์

ขณะที่ในห้องโดยสาร ในรุ่น Wildtrak เครื่อง 2.0 เทอร์โบคู่ ห้องโดยสารจะออกโทนสีดำ และยังคงเอกลักษณ์ของรุ่นไวลด์แทรคคือการเดินตะเข็บด้ายเป็นสีส้ม

 

ล้อ และ ยางติดรถ ล้ออัลลอย 18 นิ้ว สีทูโทน พร้อมกับยาง Bridgestone Dueler H/T 684 II ขนาด 265/60 R18
ห้องโดยสารจะออกโทนสีดำ

 

ห้องโดยสาร ในรุ่น Wildtrak เครื่อง 2.0 เทอร์โบคู่ ห้องโดยสารจะออกโทนสีดำ และยังคงเอกลักษณ์ของรุ่นไวลด์แทรคคือการเดินตะเข็บด้ายเป็นสีส้ม
ห้องโดยสาร ในรุ่น Wildtrak เครื่อง 2.0 เทอร์โบคู่ ห้องโดยสารจะออกโทนสีดำ และยังคงเอกลักษณ์ของรุ่นไวลด์แทรคคือการเดินตะเข็บด้ายเป็นสีส้ม
ห้องโดยสาร ในรุ่น Wildtrak เครื่อง 2.0 เทอร์โบคู่ ห้องโดยสารจะออกโทนสีดำ และยังคงเอกลักษณ์ของรุ่นไวลด์แทรคคือการเดินตะเข็บด้ายเป็นสีส้ม

พวงมาลัยไฟฟ้า แบบมัลติฟังชั่น เต็มไปด้วยปุ่มมากมาย อยากจะยกฉายารถกระบะที่มีปุ่มมากที่สุดในประเทศให้ซะเหลือเกิน การเปลี่ยนพวงมาลัยไฟฟ้าช่วยให้ใช้แรงไม่มากนักในการขับขี่และหมุนพวงมาลัย แต่สำหรับขาซิ่ง อาจจะอยากได้พวงมาลัยที่มีน้ำหนักหน่วงมากกว่านี้ในย่านความเร็วสูง

บริเวณหน้าจอข้อมูลบนหน้าปัดจะเป็นแบบสี ขนาด 4.2 นิ้ว 2 จอ แสดงข้อมูล Trip A, Trip B มาตรวัดรอบเครื่องยนต์ อัตราสิ้นเปลือง ระดับความร้อนน้ำหล่อเย็น, ระดับน้ำมัน และความเร็ว โดยในส่วนมากวัดรอบเครื่องยนต์มีเสียงบ่นว่าขนาดเล็กไปหน่อย

จอตรงกลางขนาด 8 นิ้ว ระบบสัมผัส ใช้งานง่ายเหมือนมือถือ มาพร้อมกับ ระบบ Sync 3 เป็นระบบสั่งงานด้วยเสียงของฟอร์ด มีเมนูภาษาไทยมาแล้ว สามารถสั่งเป็นเสียงภาษาไทยได้ ช่วยให้ใช้งานง่ายมากขึ้น สามารถเชื่อมต่อได้ทางโทรศัพท์แบบ Android และ iOS เวลาโทรออกก็ง่ายนิดเดียว แค่พูดว่า “โทรหา” จากนั้นก็พูดชื่อที่อยู่ในเบอร์โทรศัพท์เรา มันก็จะโทรหาให้ทันที หรือเวลาจะเปลี่ยนคลื่นวิทยุก็พูดเป็นตัวเลขขึ้นมาเลย โดยตัวเลขนั้นต้องเป็นตัวเลขคลื่นวิทยุด้วย ถ้าเราพูดตัวเลขในลอยๆ เช่น 25 อันนี้มันจะเปลี่ยนเป็นอุณหภูมิแอร์ให้ โดยมันจะถามเราก่อนถ้าเราตอบว่าใช่มันก็จะเปลี่ยนให้ เช่นเดียวกับการเล่นเพลง ก็ให้พูดว่า “เล่น” ตามด้วยชื่อเพลงในโทรศัพท์ มันก็จะเล่นเพลงให้เราทันที

ทั้งนี้หากเราจะสั่งงานด้วยเสียงก็แค่กดปุ่มที่อยู่บนพวงมาลัย ระบบ Sync 3 ภาษาไทยนี้ยังอยู่ในฟอร์ดเอฟเวอร์เรสด้วย

นอกจากนี้ยังมีระบบช่วยโทรฉุกเฉินที่จะสามารถพูดคุยกับหน่วยกู้ภัยได้ หากเกิดการชน ที่ถุงลมนิรภัยทำงาน หรือหัวจ่ายน้ำมันตัดการทำงาน ระบบ Sync 3 ก็จะโทรหา 1669 หรือศูนย์นเรนทร โดยระบบนี้จะทำงานเมื่อมีการเชื่อมต่อกับโทรศัพท์ของผู้ขับ เรายังสามารถเลือกตั้งค่าว่าจะให้มันทำงาน โดยการโทรไปที่เบอร์ฉุกเฉินหรือไม่ได้ด้วย หลังการชน ระบบจะถามเราก่อนให้เรายกเลิกได้ภายใน 10 วินาทีในกรณีไม่ต้องการโทรออก

ถามว่าระบบ Sync 3 จะแจ้งอะไรให้กับเจ้าหน้าที่กู้ภัย ระบบจะบอกกับเจ้าหน้าที่ว่ารถยนต์ฟอร์ดคันนี้เกิดอุบัติเหตุ และให้เจ้าหน้าที่เตรียมรับ พิกัด GPS จากนั้นระบบก็จะต่อสายให้เจ้าหน้าที่คุยกับผู้ขับ โดยฟอร์ดการันตีว่าได้มีการอบรมกับเจ้าหน้าที่ศูนย์นเรนทรเรียบร้อยแล้วในการรับเรื่องอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นจากกรณีที่ระบบ Sync 3 โทรหา ทั้งนี้ทั้งนั้น หากเกิดอุบัติเหตุรถชนแล้วโทรศัพท์พัง ระบบจะไม่ทำงาน รวมถึงระบบนี้จะทำงานในที่ที่มีสัญญาณมือถือเท่านั้น

ระบบกุญแจเป็นแบบระบบ Push start และระบบเปิดปิดรถโดยไม่ใช้กุญแจ มีมาให้ตั้งแต่รุ่น Limited จนถึง Wildtrak เช่นเดียวกับระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติแยกอิสระซ้ายขวา เบาะหนัง คอนโซลทำความเย็นแบบ Cool Box มีกล้องมองหลังขณะถอยจอดมาให้ด้วย

มีระบบตัดเสียงรบกวนในตัว Wildtrak ช่วยให้ห้องโดยสารเงียบมากขึ้น โดยจะมีไมโครโฟนบนหลังคาคอยรับเสียง หากพบว่ามีคลื่นเสียงที่ไม่พึงประสงค์ ก็จะสร้างคลื่นเสียงตรงกันข้ามเพื่อมาหักล้างกัน

 

สำหรับความแตกต่างซึ่งรุ่น Wildtrak จะได้เป็นพิเศษ คือไฟตกแต่งห้องโดยสารแบบ Ambient Light ช่องต่อไฟขนาด 230 V เบาะที่นั่งคนขับปรับแบบไฟฟ้า 8 ทิศ ระบบนำทาง Navigation สัญญาณเตือนระยะจอดด้านหน้า รวมถึงถุงลมนิรภัยเพิ่มเป็น 6 จุด คือคู่หน้า ด้านข้างและม่านถุงลมนิรภัย

มาดูที่เครื่องยนต์กันบ้าง เครื่องยนต์เดิมของฟอร์ดคือเครื่อง 3.2 และ 2.2 ลิตร ฟอร์ดก็จะยกเลิกการผลิตเครื่อง 3.2 แล้ว แต่สำหรับเครื่อง 2.2 ลิตร ยังคงผลิตต่อ และจะใช้เครื่องยนต์ใหม่ขนาด 2.0 ลิตร ในฟอร์ดเรนเจอร์รุ่น Limited และ Wildtrak ซึ่งในส่วนเครื่องยนต์ใหม่ก็จะแบ่งออกเป็นแบบ เครื่องดีเซล VG Turbo 2.0 ลิตร 180 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 420 นิวตันเมตร เครื่องตัวนี้จะอยู่ในรุ่น Limited ส่วนตัวที่ 2 เป็น Bi-turbo หรือเทอร์โบคู่ 213แรงม้า แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ด้วยตัวนี้จะอยู่ในรุ่น Wildtrak และ แร็พเตอร์ เท่านั้น หมายความว่าเครื่องยนต์ของฟอร์ดที่จะผลิตขายอยู่จะเหลือแค่ 3 เครื่อง

เครื่องยนต์ใหม่ขนาด 2.0 ลิตร

เครื่องยนต์ใหม่นี้ ฟอร์ดระบุว่าเป็นการดีไซน์ใหม่ เพื่อใช้งานสำหรับเรนเจอร์โดยเฉพาะ สำหรับเครื่องยนต์เทอร์โบคู่ ฟอร์ดระบุว่า ผลของการพัฒนาเครื่องยนต์ตัวนี้จะได้ความประหยัด สำหรับหลายคนที่สงสัยว่าแล้วจะได้แรงที่ดีหรือไม่ ฟอร์ดจึงใส่เทอร์โบคู่มาให้ สร้างแรงบิดถึง 500 นิวตันเมตร โดยฟอร์ดถึงกับโชว์กราฟให้เห็นว่าเครื่องยนต์ 2.0 ลิตรเทอร์โบคู่ สร้างแรงบิด ให้พละกำลัง และอัตราเร่งที่ดีกว่าเครื่อง 3.2 ทั้งแรงต้นและแรงปลาย และยังปล่อยมลพิษน้อยกว่าเดิม ส่วนอัตราการกินน้ำมันฟอร์ดยืนยันว่า ต่ำกว่าตัว 3.2 แน่นอน

สำหรับการทำงานของเครื่องยนต์เทอร์โบคู่ ประกอบกันด้วยเทอร์โบลูกเล็ก หรือ High-Pressure (HP Turbo) เป็นเทอร์โบแรงดันสูง และ เทอร์โบลูกใหญ่ Low-Pressure (LP Turbo) เป็นเทอร์โบแรงดันต่ำ โดยเทอร์โบลูกเล็กจะทำงานแบบแปรผัน ทำงานในความเร็วรอบต่ำ ส่วนความเร็วในรอบปานกลางเทอร์โบทั้ง 2 ตัวจะช่วยกันอัดอากาศเข้าไปในห้องเผาไหม้ พอถึงช่วงรอบสูงก็จะเป็นหน้าที่ของ เทอร์โบลูกใหญ่ ส่วนเครื่องยนต์เทอร์โบเดี่ยว ในรุ่น Limited จะเป็นเทอร์โบแบบแปรผัน

นอกจากนี้ในส่วนเครื่องยนต์ฟอร์ดยังนำสายพานไทม์มิ่ง จากตัวเก่าที่ใช้ระบบโซ่ ทำให้ได้ความนุ่มนวล ความเงียบ โดยฟอร์ดยืนยันว่าอายุการใช้งาน จะยาวนานขึ้นเพราะเอาสายพาน ลงไปจุ่มในน้ำมันเครื่อง หากยึดตามเครื่องอีโค่บูทน่าจะอยู่ที่มากกว่า 240,000 กิโลเมตร สวนลูกสูบก็เป็นอลูมิเนียมที่มีการหล่อทับเพิ่มความหนาและความทนทาน หัวฉีดเพิ่มจาก 6 รูเป็น 8 รู เพื่อการกระจายตัวของน้ำมันได้ทุกทิศทาง ผสมกับการเพิ่มแรงดันน้ำมันเป็น 2,200 บาร์ต่อการฉีด 1 ครั้ง สูงที่สุดในบรรดารถกระบะทั้งหมด ประหยัดน้ำมันเครื่องจากเดิมใช้ที่ 9.8 ลิตร เหลือ 7 ลิตร นอกจากนี้ฝาเครื่องยังเปลี่ยนจากพลาสติกเป็นโฟมเพื่อช่วยซับเสียง และแรงกระแทก

ข้อชวนให้คิดเล็กน้อยหลังจากฟอร์ดทำการลดขนาดของเครื่อง จาก 3.2 ลิตรเป็น 2.0 ก็จะทำให้เสียภาษีต่อปีลดลงอีกด้วย จากตัวเดิมที่อยู่ 8,000-9,000 บาท เป็น 3,000 ไม่เกิน 4,000 บาท

ในส่วนระบบส่งกำลัง ระบบเกียร์แบบ 10 Speed แบบ Torque Converter ช่วยให้อัตราเร่งดีขึ้น เปลี่ยนเกียร์ได้เร็วขึ้น และประหยัดน้ำมันมากขึ้นกว่าเดิม โดยเป็นเกียร์แบบที่ใช้ใน Ford F-150 F 150 Raptor และ Ford Mustang ผลิตจากวัสดุเหล็กกล้า อลูมิเนียมอัลลอย และคอมโพสิต มีระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่มาพร้อมกับโปรแกรมที่จะเรียนรู้รูปแบบการขับขี่ของผู้ขับ มีปุ่มบวก-ลบที่หัวเกียร์ เพื่อเพิ่มความสนุกสนานมากขึ้นในการขับขี่ ฟอร์ดบอกว่าสบายกว่ารูปแบบเดิมในการตบเกียร์เข้าหาตัว แต่หลายคนก็บ่นว่าน่าจะให้เป็นแป้น Paddle Shift แบบใน Ford Raptor โดยเจ้าปุ่มบวกลบที่เกียร์ยังมีอยู่ใน Ford Everest อีกด้วย ส่วนการทำงานของมันก็ง่ายๆ การขับขี่ในโหมด D ปกติ ก็กดปุ่มได้เลย แต่มันจะใช้เวลาในการคิดนิดนึง ก่อนจะเปลี่ยนให้ ไม่ใช่ Real Time ทันใจ

ปุ่มบวก-ลบที่หัวเกียร์ เพื่อเพิ่มความสนุกสนานมากขึ้นในการขับขี่

จากการทดลองขับ ค่อนข้างราบรื่นพอสมควรในช่วงจังหวะการเปลี่ยนเกียร์ ให้อารมณ์แบบเกียร์ CVT เลย แต่ยังมีจังหวะกระชากเล็กๆเพื่อให้รู้ว่าผมไม่ใช่เกียร์ CVT นะ ซึ่งเกียร์ 10 สปีดจะไม่ขึ้นลงตามลำดับ แต่มันจะขึ้นลงตามรูปแบบการใช้งาน เวลาเราออกตัวรุนแรง กระทืบคันเร่ง เกียร์ก็จะมีการก้าวกระโดดให้ เช่นจาก1 ก็จะกระโดดไป 3 ใส่เกียร์ 5 ไปเกียร์ 7 แล้วก็ 8 9 10 ตามปกติ แต่ถ้าเราออกตัวแบบเรียบๆธรรมดา เกียร์ก็จะไล่ จาก1 2 3 4 และข้ามจาก 5 ไป 6 7 และกระโดดไป 9 การทำงานจึงขึ้นกับการเหยียบคันเร่งและการบรรทุก ส่วนเวลาลงของเกียร์ ก็จะลงเร็วเพราะใช้คลัทช์แบบทิศทางเดียว

อีกอย่างที่ต้องบอกคือ เราสามารถกำหนดเกียร์ได้ด้วยว่าจะให้รถคันนี้วิ่งที่เกียร์เท่าไหร่ ในเกียร์สุดท้าย อยากให้วิ่งสักแค่ 4 เกียร์ จาก 10 ก็ทำได้ น่าจะมีประโยชน์ในการขึ้นเขาลงเขา

ในเรื่องของความเร็ว จากการทดสอบในทริป ในช่วงจังหวะที่ปลอดภัย จาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้เวลา ประมาณ 10 ถึง 11 วินาที ส่วนอัตราการกินน้ำมัน อยู่ที่ประมาณ 11.3 กิโลเมตรต่อลิตร ทั้งนี้ต้องบอกก่อนว่า เป็นการทดสอบภายในทริป ซึ่งมีทั้งช่วงขึ้นเขาลงเขา ใช้กำลังมากน้อย ต่างกัน รวมถึงระดับความเร็วก็ไม่สามารถควบคุมได้ เพราะเกิดจากการขับขี่ตลอด 2 วันในจังหวัดเชียงราย สำหรับอัตราการกินน้ำมันนั้น เป็นการทดสอบจากการใช้จริง แล้วต้องบอกก่อนว่าเป็นการขับขี่ที่ไม่ปกติมากนัก เพราะเป็นช่วงระยะทางของการขับแบบทดสอบ มีน้ำหนักรถ ผู้โดยสาร เป็นผู้ชาย 3 คน พร้อมสัมภาระอีกด้วย เท่าที่ได้ยินมาเพื่อนสื่อบางคันก็ได้ 10 กิโลเมตรต่อลิตรเป็นต้น โดย Ford ยืนยันว่าประหยัดกว่ารุ่น 3.2 ตัวเก่าแน่นอน หลังจากนี้หากมีโอกาสก็น่าจะได้มีการทดลองอย่างเป็นกิจจะลักษณะอีกครั้ง

ที่ต้องบอกอีกอย่างหนึ่งคือ ผลจากการใช้เกียร์ 10 สปีด ทำให้ได้รอบที่ต่ำมาก ในความเร็วระดับ 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รอบเครื่องยังไม่ถึง 2,000 รอบ /นาที ด้วยซ้ำ

ช่วงล่างไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมากจากรุ่นเดิม ตัว 2.0 Turbo คู่ ช่วงล่างก็เหมือนกับตัว 3.2 เดิม ส่วนตัว 2.0 Turbo เดี่ยว ก็จะได้ช่วงล่างของตัว 2.2 เดิม มีเพียงเหล็กกันโคลงด้านหน้าซึ่งปกติ ลักษณะเส้นทางของเหล็กจะอ้อมไปทางด้านหน้าของเครื่อง แต่ในรุ่นใหม่จะอยู่ด้านหลังของเครื่องแทน เพื่อเพิ่มเนื้อที่ในการวางระบบกันสะเทือนด้านหน้า แต่ด้านหลังไม่มีการเซ็ตระบบกันสะเทือนอะไรเพิ่มเติม ยังคงเหมือนเดิมทุกอย่าง ส่วนการตั้งค่าสปริงหรือโช๊คอัพ ไม่มีรายงานว่ามีการปรับเปลี่ยนแต่อย่างใด

ในช่วงการใช้ความเร็วเกิน 120 ไปถึง 150 กิโลเมตรต่อชั่วโมงก็ต้องบอกว่าอุ่นใจได้ ให้ความรู้สึกคุมรถอยู่ แม้จะผ่านช่วงที่ถนนขรุขระ เส้นทางระหว่างไปเชียงของ ก็ผ่านไปได้ไม่ลำบากอะไร เช่นเดียวกับการขึ้นลงทางชันบริเวณดอยตุง ที่ช่วงล่างทำงานประสานกับระบบช่วยการทรงตัว สำหรับคนชอบขับขี่กลายเป็นเรื่องสนุกไปอีก

สำหรับความปลอดภัย ทั้งในรุ่น Limited และ Wildtrak จะได้

-ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว หรือ ESP
-ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี หรือ Traction Control
-ระบบช่วยการออกตัวขณะจอดบนทางลาดชันหรือ HLA
-ระบบช่วยการทรงตัวขณะลากจูง หรือ TSC
-ระบบลดความเสี่ยงจากการพลิกคว่ำหรือ ROM
-ระบบควบคุมความเร็วขณะลงเขา หรือ HDC (เฉพาะรุ่น 4×4)

แต่สำหรับรุ่น Wildtrak จะได้เทคโนโลยีและความปลอดภัยเพิ่มขึ้น ทั้ง

-ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติพร้อมระบบตรวจจับคนเดินถนนแบบ AEB
-ระบบช่วยจอดอัจฉริยะ
-ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ หรือ Adaptive Cruise control
-ระบบเตือนการชนด้านหน้า หรือ Forward collision warning System
-ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง หรือ Lane keeping System
-ระบบแจ้งเตือนการขับขี่
-ระบบเปิดปิดไฟสู่อัจฉริยะ หรือ Auto High Beam control

เป็นครั้งแรกในการใส่ระบบเบรคฉุกเฉินอัตโนมัติพร้อมระบบตรวจจับคนเดินถนน (AEB) มาในรถกระบะ อธิบายการทำงานแบบง่ายๆก็คือ รถตัวนี้จะมีการทำงานร่วมกันระหว่างกล้องกับตัวเรดาร์หน้ารถ จากในอดีตที่มีเพียงระบบเตือนการชน โดยเรดาร์ 2 ตัวทำงานกับกล้องที่จะคอยดูรูปร่างของวัตถุ ว่าเป็นรถหรือเป็นคน พร้อมกับเซ็นเซอร์บริเวณกันชนที่จะคอยดูว่าวัตถุดังกล่าวอยู่ห่างกับรถเท่าไหร่ หากเราเข้าใกล้วัตถุมากเกินไปแล้วยังไม่เหยียบเบรค ระบบก็จะหยุดรถให้ หรือช่วยลดความเร็วให้อัตโนมัติ

โดยมีข้อที่ต้องระวังคือ เซ็นเซอร์หรือเรดาร์จะทำงานที่ความเร็ว 3.6 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขึ้นไป ส่วนกล้อง จะทำงานกลับรถยนต์ได้ไม่จำกัดความเร็ว ถ้าเป็นคน ต้องไม่เกิน 62 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หากวิ่งเร็วกว่านั้นกล้องจะตรวจจับว่าเป็นคนไม่ทัน พูดง่ายๆคือถ้าเร็วกว่า 62 กิโลเมตรต่อชั่วโมงมันจะไม่รู้ว่าเป็นคน แต่ถามว่าระบบจะทำงานไหม ระบบก็ยังลดความเร็วให้อยู่ ส่วนในระยะปลอดภัย จากการทดลอง ต้องไม่เกิน 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รถจะหยุดพอดีไม่ชนทั้งคนทั้งรถ หากมากกว่านั้นเป็นเพียงการชะลอ ไม่สามารถเบรคจนหยุดสนิทให้ได้

ในกรณีบริบทเมืองไทยมีที่สัตว์ชอบข้ามถนน ก็เกิดคำถามขึ้นว่า แล้วถ้าเป็นสุนัขข้ามถนนระบบจะตรวจจับพบและหยุดรถให้ไหม คำตอบคือเซ็นเซอร์หน้ารถจะทำงานและช่วยในการชะลอรถ โดยอาจจะไม่ได้หยุดสนิทเหมือนคน ส่วนสัตว์ขนาดใหญ่ ระบบก็จะทำงานตามปกติ สำหรับเซ็นเซอร์ด้านหน้ามีระยะทำงาน 200 ถึง 400 เมตร ขอฝากไว้ตรงนี้อีกนิด ระบบตัวนี้จึงเป็นเพียงระบบช่วยเบรคไม่ใช่ระบบเบรคฉุกเฉิน ความเร็วจึงเป็นส่วนสำคัญว่ารถจะหยุดสนิทหรือไม่ อีกเรื่องคือกรณีฝนตกฟ้าร้องมันก็ทำงานปกติ แต่ถ้าตัวกล้องมีอะไรมาบังมากๆ มันก็จะเตือนขึ้นมาว่าระบบทำงานไม่ได้

ระบบตรวจจับคนเดินถนน

ในทริปจัดให้มีการทดสอบระบบนี้เช่นกัน กรณีเป็นรถยนต์ระบบก็จะหยุดให้พอดี พอถึงด่านที่เป็นคนเดินข้าม ดูเหมือนรถพยายามเบรคแล้ว แต่บังเอิญตรงนั้นเป็นถนนปูนที่ขรุขระ เลยทำให้เลยไปชนนิดนึง ดังนั้นหากใช้จริงความเร็วและสภาพถนนก็สำคัญ ลองดูคลิปทดสอบแล้วกันครับ

ส่วนระบบช่วยจอดที่มาพร้อมกับระบบค้นหาช่องจอดอัตโนมัติให้นั้น หากเราจะใช้ระบบนี้ นอกจากมันจะถอยหลังเข้าช่องจอดให้เรา มันยังช่วยเราค้นหาด้วยว่ามีช่องจอดที่พอดีกับขนาดรถเราหรือไม่ เพราะ Ford Ranger ยาวเกือบ 5 เมตร การใช้งานก็ไม่ยากแค่กดปุ่มให้ช่วยจอด เราสามารถเลือกฝั่งซ้ายหรือฝั่งขวาในการจอดก็ได้ จากนั้นก็ขับไปเรื่อยๆ พอเจอช่องจอดที่พอดี ระบบก็จะบอกเรา จากนั้นเราก็หยุดรถใส่เกียร์ถอยหลังแล้วปล่อยพวงมาลัย ระบบก็จะหมุนหมุนพวงมาลัยให้จนเสร็จสิ้น คอยเหยียบเบรคจับใส่เกียร์เดินหน้าถอยหลังอย่างเดียว

ปุ่มกดช่วยจอด

สำหรับฟอร์ดเรนเจอร์ตัวใหม่ตัวนี้ ต้องบอกว่ามีดีที่เครื่องยนต์และระบบเกียร์ ให้กำลังแรงม้าสูง ถึง 213 แรงม้า การเปลี่ยนเกียร์ที่นุ่มนวล หันไปอีกทีรอบวัดความเร็วก็ขึ้นไปที่ 140 กิโลเมตรต่อชม.แล้ว เฉพาะรุ่น Wildtrak ก็เป็นเครื่องและเกียร์ตัวเดียวกับ เรนเจอร์ แร็พเตอร์ ซึ่งกำลังฮือฮาอยู่ในขณะนี้ แต่เจ้าตัวแร็พเตอร์ มีค่าตัวอยู่ที่ 1,699,000 บาท ขณะที่เรนเจอร์ Wildtrak มีค่าตัวอยู่ที่ 1,265,000 บาท ที่ต่างกันขนาดนี้เพราะระบบช่วงล่างและโครงสร้างตัวรถคนละเรื่องกันเลย

ถ้าให้เปรียบเทียบกัน Ranger Raptor เป็นรถที่เหมาะสำหรับมีเงิน ที่พร้อมจะจ่ายเงินเพื่อซื้อกระบะที่ดีที่สุด บุกตะลุยไปได้ทุกที่ แต่สำหรับการใช้งานทั่วไป แค่เรนเจอร์ Wildtrak ก็เพียงพอ โดยเฉพาะการจ่ายเพื่อเทคโนโลยีความปลอดภัย แต่สำหรับราคาค่าตัว 1,265,000 ก็ไม่ได้น้อยเหมือนกันก็อยู่ที่ผู้บริโภคหรือผู้อ่านจะคำนวณอรรถประโยชน์ของแต่ละคนกันเอง บางทีคนมองฟอร์ดก็จะนึกถึงแต่รุ่น Wildtrak แต่ที่น่าสนใจคือในรุ่น Limited ก็ได้เทคโนโลยีที่ดีในราคาไม่ถึงล้านด้วย

ส่วนระบบช่วงล่างของเรนเจอร์ตัวใหม่ ยังไม่ได้ปรับเปลี่ยนอะไรมากนัก แต่ก็ค่อนข้างเซ็ตมาไปในทางนุ่มนวลมากขึ้น คงหวังให้เหมาะกับความชอบของคนไทย ที่สำคัญคือระบบช่วยเหลือด้านการขับขี่และความปลอดภัยซึ่งจัดมาให้เต็มที่ ซึ่งนับว่าเป็นการสร้างมาตรฐานการต่อสู้ในกลุ่มรถกระบะของเมืองไทย ที่ผู้บริโภคก็ได้ประโยชน์

ท้ายสุดหากจะฝากถึงฟอร์ด ก็คงเป็นเรื่องการรับมือกับผู้บริโภค หรือบริการหลังการขาย ซึ่งปัจจุบันทราบว่าฟอร์ดก็กำลังพัฒนาด้านนี้อย่างจริงจัง ซึ่งหากทำสำเร็จฟอร์ดน่าจะได้ส่วนแบ่งการตลาดจากคนไทยไปอีกเยอะ เพราะผลิตภัณฑ์ดีอย่างเดียวไม่พอ การเอาใจใส่ผู้บริโภคก็เป็นเรื่องสำคัญ

 

อาร์ม สามย่าน
[email protected]

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image