ทดลองขับ ALL NEW MG3 แฮทช์แบ็คหลากสี ราคาดี ออฟชันเด่น

แม้จะเข้ามาทำตลาดในไทยไม่นาน เหมือนรถยุโรปและรถญี่ปุ่นค่ายอื่น แต่แบรนด์เอ็มจี ก็ทำผลงานได้ดีอย่าง MG3 ที่ทำยอดขายได้ถึง 17,000 คัน จุดขายคือใส่ออพชั่นมาเต็ม

ด้วยมาตรฐานการผลิต Option ต่างๆ ที่ใส่เข้ามาในรถเหมือนรถยุโรป แต่คนไทยสามารถจับต้องได้ในราคาเท่ากับรถญี่ปุ่น พูดให้เห็นภาพก็คือ ด้วยงบไม่ถึง 500,000 บาท คุณก็สามารถเป็นเจ้าของ City Car เครื่องยนต์ 1500 cc ได้แล้ว (ราคา MG3 เอ็มจี 3 1.5C ราคา 479,000 บาท)

ล่าสุดเอ็มจีประกาศเปิดตัว ALL NEW MG3 แฮทช์แบ็คหลากสีสัน ที่มาพร้อมนิยามใหม่ ‘WE ARE FUN’ : มองโลกให้สนุกทุกเส้นทาง เพื่อหวังกระตุ้นยอดขาย ทำตลาด 4 รุ่นย่อย รุ่น C ราคา 519,000 บาท, D ราคา 549,000 บาท, X ราคา 589,000 บาท และ V 629,000 บาท มาตั้งแต่ปลายเดือนมิถุนายน

ความเปลี่ยนแปลงที่สังเกตได้ชัด จนเอ็มจีต้องใช้คำว่า “All New” สังเกตแบบคร่าวๆ คือเรื่องหน้าตาที่ดูหล่อขึ้น ลวดลายเส้นสายภายนอกคมชัด ส่วนเครื่องยนต์ก็มีการปรับจูนใหม่ แรงม้าเพิ่มขึ้นเป็น 112 แรงม้า จากเดิมที่ 106 แรงม้า เช่นเดียวกับเกียร์ จากเดิมเป็นเกียร์ SeleMatic อัตโนมัติ 5 สปีด ปรับเปลี่ยนโหมดได้ตามต้องการ เปลี่ยนมาเป็นเกียร์ อัตโนมัติ 4 สปีด พร้อม Manual Mode

Advertisement

แน่นอน เอ็มจียังคงรักษามาตรฐาน นำระบบรักษาความปลอดภัยจัดมาให้ครบ รวมถึงจุดเด่นจุดขายของมันคือซันรูฟ และ i-Smart เข้ามาใส่ในรถรุ่นนี้ด้วย โดยตั้งเป้ายอดจัดจำหน่ายที่ 10,000 คันภายในปีนี้

ต้องบอกว่าโฉมปรับใหม่นี้ ดีไซน์ภายนอกค่อนข้างสวยงามกว่าเดิม ให้ไฟโปรเจคเตอร์มาตั้งแต่รุ่นล่างสุดน่าจะเป็นที่ชื่นชอบของคนไทย  ส่วนไฮไลท์คือ ซันรูฟ ที่จะได้มาในรุ่น X และ รุ่น V ซึ่งต้องจ่ายเงิน 589,000 บาท ก็จะได้รถที่มีซันรูฟ ขนาดเครื่อง 1500 cc มาครอบครองแล้ว

Advertisement

หลังเปิดตัวไปสักพัก เอ็มจี เพิ่งจัดให้สื่อมวลชนลองไปทดสอบขับเจ้า ALL NEW MG3 เส้นทางกรุงเทพสู่หัวหิน รวมระยะทางกว่า 240 กิโลเมตร เพื่อให้ได้ทดสอบสมรรถนะ การขับขี่ รวมถึงมีด่านการทดสอบเทคโนโลยีความปลอดภัยต่างๆ ในการควบคุมรถ มีบางช่วงที่ลัดเลาะเข้าไปในเขตชนบท จังหวัดเพชรบุรี ผ่านท้องทุ่งนาและเทือกเขา เพื่อให้ได้เห็นอัตราการเร่งแซงบริเวณถนน 2 เลน

มาดูกันที่ภายนอกของรถ ALL NEW MG3  ยาว 4,055 มม. กว้าง 1,729 มม. สูง 1,516 มม. ระยะช่วงล้อ 2,520 มม. โดย ระยะห่างระหว่างล้อคู่หน้า 1,496 มม. ระยะห่างระหว่างล้อคู่หลัง 1,483 มม. แทบจะไม่ต่างจากตัวเดิมมาก หรือถ้าเทียบให้เห็นภาพกับรุ่นที่พอจะเปรียบเทียบกันได้ อย่าง Honda Jazz คือมีความยาวกว่า กว้างกว่า นิดนึง แต่ต่ำกว่า Honda Jazz เล็กน้อย ส่วนน้ำหนัก ALL NEW MG3 รุ่น V หนักประมาณ 1,190 กิโลกรัม เบากว่า MG ZS ที่หนัก 1,258 กิโลกรัม อยู่ 68 กิโลกรัม

MG3 ใหม่ ถูกออกแบบภายใต้แนวคิด บริท ไดนามิค (BRIT DYNAMIC) ผู้ซื้อจะได้พบกับ กระจังหน้าใหม่ ไฟหน้าเป็นแบบโปรเจคเตอร์ พร้อมไฟส่องสว่างขณะขับขี่เวลากลางวัน (Daytime Running Lights) และไฟท้ายแนวตั้งแบบแอลอีดี ไลท์ไกด์ (LED Light Guide) พร้อมไฟเบรกดวงที่สามและไฟตัดหมอกหลัง โดยมี ระบบควบคุมการเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ (เฉพาะรุ่น V) และที่สำคัญสำหรับภายนอกของรถนั่นคือซันรูฟไฟฟ้า ซึ่งสำหรับรถในตลาดแล้ว ในราคาระดับ 5-6 แสน ไม่สามารถพบเจอได้ในรุ่นไหน ส่วนขนาดของล้อและยาง ALL NEW MG3 เป็น ล้ออัลลอยด์ขนาด 16 นิ้ว (เฉพาะ รุ่น X และ V)

ALL NEW MG3  ยาว 4,055 มม. กว้าง 1,729 มม. สูง 1,516 มม. ระยะช่วงล้อ 2,520 มม.
กระจังหน้าใหม่ ไฟหน้าเป็นแบบโปรเจคเตอร์ พร้อมไฟส่องสว่างขณะขับขี่เวลากลางวัน (Daytime Running Lights)
ไฟท้ายแนวตั้งแบบแอลอีดี ไลท์ไกด์ (LED Light Guide) พร้อมไฟเบรกดวงที่สามและไฟตัดหมอกหลัง

ขณะที่ภายในห้องโดยสาร การเปิดประตูเข้าออกค่อนข้างสะดวก เบาะนั่งคนขับปรับ 6 ทิศทาง เบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้าปรับ 4 ทิศทาง สีสันของเบาะเป็นลายโมเดิร์นกราฟิก ส่วนเบาะที่นั่งหลังสามารถปรับพับแยกส่วนในการเก็บสัมภาระแบบ 60:40 มีข้อดีคือเมื่อพับลงสุดก็จะได้พื้นที่เก็บของพอสมควร

อารมณ์จากการทดลองทั้งการขับและการนั่งเป็นผู้โดยสารด้านหลัง มีความรู้สึกว่าเบาะด้านหน้า ค่อนข้างกระชับให้ความรู้สึกที่ดีพอตัว  ส่วนด้านหลังจะค่อนข้างแข็งเล็กน้อย แต่อยู่ในระดับที่ใช้งานได้ หากสูงเกิน 180 ขึ้นไป พื้นที่บริเวณเข่าจนถึงเบาะด้านหน้าจะเหลือประมาณ 1 นิ้ว ขณะที่พื้นที่เหนือศีรษะด้านหน้าคนสูงไม่น่าจะมีปัญหา ส่วนด้านหลังหากเกิน 180 ขึ้นไป มีความเสี่ยงว่าจะหัวเกือบจะติด (ทั้งนี้ทั้งนั้นผู้อ่านต้องไปลองนั่งดู) ส่วนการเก็บเสียงของรถ บริเวณตำแหน่งนั่งด้านหน้าพอใช้ได้ มีเสียงลมของกระจกมองข้างลอดมาเล็กน้อย แต่บริเวณด้านหลังจะได้ยินเสียงจากล้อหลังนิดหน่อย แต่จะมากขึ้นในช่วงความเร็วสูง

เบาะนั่งคนขับปรับ 6 ทิศทาง เบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้าปรับ 4 ทิศทาง
เบาะนั่งผู้โดยสารด้านหลัง

พื้นที่เก็บของช่องด้านหน้าบริเวณผู้นั่งพอใช้ได้ แต่ที่วางแก้วน้ำให้มาประมาณ 4 ช่อง ซึ่งน่าจะใช้ได้จริงบ่อยๆ แค่ 2 ช่อง ที่บริเวณตรงกลาง เพราะบริเวณประตูด้านหน้าทั้งซ้ายและขวาขนาดช่องเล็กไปหน่อย

ด้านระบบปรับอากาศ แบบอิเล็กทรอนิกส์ (ยกเว้นรุ่น C) โดยมี ช่องแอร์ออกแบบสไตล์เจ็ท เทอร์ไบน์ สวยงามดูสปอร์ต ใช้งานง่ายดี

ขณะที่ พวงมาลัยหุ้มหนังมาให้ แบบมัลติฟังก์ชัน ควบคุมเครื่องเสียงพร้อมปุ่มรับ – วางสายโทรศัพท์ (เฉพาะรุ่น X และ V) ด้านขวาจะเป็นระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control (เฉพาะรุ่น V) ที่ใช้งานได้ง่าย หน้าจอแสดงผลเป็นแบบ Multi-Function Display แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น พวงมาลัยแบบหุ้มหนังจะมีเฉพาะรุ่น X และ V นะครับ

ทัศนวิสัยการขับขี่ เวลานั่งขับ อยู่ในระดับใช้ได้ กระจกมองข้างขนาดพอดี ระบบกระจกไฟฟ้าวันทัชดาวน์ ด้านคนขับ และกระจกมองหลังตัดแสง

พวงมาลัยหุ้มหนัง แบบมัลติฟังก์ชัน
ด้านขวาจะเป็นระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control (เฉพาะรุ่น V)
ช่องแอร์ออกแบบสไตล์เจ็ท เทอร์ไบน์ สวยงามดูสปอร์ต ใช้งานง่ายดี
ช่องใส่ของ วางแก้วน้ำตรงกลาง

ส่วนหน้าจอ เป็นหน้าจอแบบสีระบบสัมผัสขนาด 8 นิ้ว (เฉพาะรุ่น X และ V) ใหญ่ดีทีเดียว ระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือผ่านบลูทูธ และช่องเชื่อมต่อยูเอสบี ส่วน ชุดเครื่องเสียง ลำโพง 6 ตัว (รุ่น X และ V) และลำโพง 4 ตัว (รุ่น D) ในส่วนหน้าจอ มีเสียงบ่นว่ามันค่อนข้างตั้งฉาก กับตัวรถมากไป ไม่เอียงขนานไปกับระดับสายตาของคนขับ โดยเฉพาะคนขับที่สูง ก็จะลำบากนิดนึง แต่ถามว่าใช้งานได้ไหมก็อยู่ในระดับที่ใช้ได้ เพียงแต่ว่าถ้าเอียงขึ้นมานิดนึงคงดี

หน้าจอแบบสีระบบสัมผัสขนาด 8 นิ้ว (เฉพาะรุ่น X และ V) ระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือผ่านบลูทูธ และช่องเชื่อมต่อยูเอสบี

อีกหนึ่งตัวที่เป็นจุดขายของรถเอ็มจี คือ เทคโนโลยี i-SMART ซึ่งเป็นฟังก์ชั่นที่เชื่อมกับอินเทอร์เน็ตและระบบสั่งการด้วยเสียงภาษาไทย ทั้งยังสามารถรวบรวมข้อมูลที่มีความสำคัญและแจ้งต่อผู้ขับได้ตลอดเวลา อาทิ ระดับน้ำมันเชื้อเพลิง สภาพการทำงานของแบตเตอรี่ เครื่องยนต์ และระบบเบรก ผ่านสมาร์ทโฟน พร้อมกับช่วยแจ้งเตือนการเคลื่อนที่ของรถที่ผิดปกติซึ่งอาจเกิดจากการโจรกรรม ซึ่งช่วยเพิ่มความปลอดภัยได้อีกระดับ คอข่าวรถยนต์คงได้เห็นข้อดีของมันจาก  MG ZS แล้ว

โดย MG3 ใหม่ มีการเพิ่มประสิทธิภาพของ i-SMART แบบเอาใจวัยรุ่น ด้วยการอัพเดตฟังก์ชั่นใหม่บนแผนที่นำทาง โดยมาพร้อมกับ จอระบบสัมผัส 8 นิ้ว ใส่ฟังก์ชั่นการใช้งาน WONGNAI สำหรับเสิร์ชหาร้านอาหาร ฟังก์ชันใช้งาน AGODA เพื่อค้นหาโรงแรม รวมทั้งฟังก์ชันใช้งาน Online Music ในรูปแบบ Live Stream บนระบบคลาวด์ได้กว่า 1 ล้านเพลง

จุดเด่นเรื่องการใช้งานเช่น เพียงแค่ท่านพูด “ฮัลโหล เอ็มจี” (Hello MG) เพื่อเป็นการเริ่มต้นใช้งาน ตามมาด้วยการสั่งการฟังก์ชันต่างๆในตัวรถได้ ข้อดีคือไม่ต้องละมือจากพวงมาลัยนั่นเอง

นอกจากการสั่งงานด้วยเสียงแล้ว i-SMART ยังสามารถควบคุมสั่งการผ่านหน้าจอภายในรถ และการสั่งการผ่านโมบายแอปพลิเคชั่นในอุปกรณ์สื่อสารเคลื่อนที่อย่างสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต ซึ่งสามารถทำได้ทั้ง การล็อก และปลดล็อกประตู ระบบวางแผนการเดินทาง ระบบขอบเขตอิเล็กทรอนิกส์ และระบบค้นหารถ Find my car รวมถึงระบบตรวจสอบสถานะรถยนต์ และเตือนความผิดปกติของรถยนต์ด้วย

สามารถใช้งาน Online Music ในรูปแบบ Live Stream บนระบบคลาวด์ได้กว่า 1 ล้านเพลง
แจ้งข้อมูลที่มีความสำคัญต่อผู้ขับได้ตลอดเวลา อาทิ ระดับน้ำมันเชื้อเพลิง สภาพการทำงานของแบตเตอรี่ เครื่องยนต์ และระบบเบรก ผ่านสมาร์ทโฟน
โชว์จุดเด่นของรถ คือ i-SMART

เอาหล่ะ มาดูที่เครื่องยนต์ของ MG3 ใหม่ กันบ้าง รถรุ่นนี้ใช้ เครื่องเบนซิน DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว 1,498 ซีซี VTi-TECH จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีดมัลติพอยท์ มีการปรับจูนใหม่ให้ได้แรงม้าเพิ่มมากกว่าเดิมจาก 106 แรงม้า เป็น 112 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 150 นิวตัน-เมตรที่ 4,500 รอบ/นาที

ส่วนระบบกำลัง เป็นเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ พร้อม Manual Mode ที่เอ็มจีระบุว่าจะช่วยให้การขับขี่สนุกยิ่งขึ้น รองรับน้ำมันเชื้อเพลิง E85 ได้ ระบบพวงมาลัยเป็นแบบพาวเวอร์ไฮดรอลิก ยังมีเสียงบ่นว่าน้ำหนักมากในช่วงความเร็วต่ำ แต่ความเร็วสูงกลับรู้สึกว่าเบาไปนิดหน่อย แต่อยู่ในระดับที่ใช้งานได้ รัศมีวงเลี้ยวแคบสุดเพียง 5.425 เมตร

เครื่องเบนซิน DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว 1,498 ซีซี VTi-TECH 112 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที
เกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ พร้อม Manual Mode

สำหรับการทดลองทำความเร็ว ในช่วงการขับขี่ที่ปลอดภัย รถสามารถไต่ทะยาน ไปได้เรื่อยๆ หันมาอีกทีก็ 120 กิโลเมตรต่อชม.แล้ว  และสามารถพุ่งเกิน 170 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ไม่ยาก แม้จะเป็นเกียร์ 4 speed แต่ให้อารมณ์นุ่มนวลพอสมควร

เส้นทางระหว่างกรุงเทพฯ ขับจริงไปถึงอำเภอหัวหิน ผ่านช่วงรถติด การทดลองกำลังเครื่องยนต์ และช่วงที่ใช้ความเร็วสูง เข็มหน้าปัดบอกว่ากินน้ำมันประมาณ 12 กม.ต่อลิตร เชื่อว่าจะประหยัดมากกว่านี้ ขับขี่ในย่านความเร็วปกติ

ส่วนระบบช่วงล่างของรถ เป็นระบบช่วงล่าง EUROPEAN TUNING SUSPENSION ด้านหน้ามาในรูปแบบของแมคเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ส่วนด้านหลังเป็นทอร์ชันบีม มาพร้อมระบบเบรกด้านหน้าแบบดิสก์เบรกพร้อมช่องระบายความร้อน ส่วนด้านหลังแบบดรัมเบรก

ระบบช่วงล่าง EUROPEAN TUNING SUSPENSION

ในด้านความปลอดภัยนั้น MG3 ใหม่ มาพร้อมระบบโครงสร้างตัวถังนิรภัย USD (Ultimate Stiffness Design) พร้อมถุงลมนิรภัยคู่หน้า ส่วนระบบความปลอดภัย ก็จัดเต็ม รวม 8 ฟังก์ชัน ประกอบด้วย

-ระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรกฉุกเฉิน ABS(Anti-Lock Braking System)
-ระบบกระจายแรงเบรก EBD (Electronic Brake Force Distribution)
-ระบบเสริมแรงเบรกด้วยอิเล็กทรอนิกส์ EBA (Electronic Brake Assist)
-ระบบควบคุมการทรงตัว SCS (Stability Control System)
-ระบบควบคุมการเบรกในขณะเข้าโค้ง CBC (Curve Brake Control)
-ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล TCS (Traction Control System)
-ระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HAS (Hill Start Assist System)
-ระบบป้องกันการลื่นไถล เมื่อเกียร์ลดต่ำอย่างฉับพลัน MSR (Motor Control Slide Retainer)

ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่ดีในรถราคา 5-6 แสน แต่ได้ความปลอดภัยแบบนี้มา ถือเป็นการสร้างมาตรฐานที่ดี ทดลองในช่องทางทดสอบ การเข้าโค้ง หรือการเปลี่ยนเลนกะทันหัน ต้องใช้คำว่าเอาอยู่ นอกจากนี้ยังมาพร้อมกล้องมองหลัง เฉพาะรุ่น X และ V และสัญญาณเตือนระยะถอยหลัง ที่ให้มาทุก แต่ ยกเว้น รุ่น C ซะงั้น

อื่นๆ ก็เช่น ระบบล็อกประตูอัตโนมัติ (Speed Sensing Door Lock) จุดยึดเบาะที่นั่งเด็ก ISOFIX Mg ไม่ได้ให้ยางอะไหล่มา แต่ให้ ชุดซ่อมยางฉุกเฉิน มานะครับ

ชุดซ่อมยางฉุกเฉิน

โดยสรุป MG3 ตัวใหม่ จุดเด่นของการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้คือเรื่องหน้าตาเป็นหลัก ส่วนเครื่องปรับจูนใหม่ให้กําลังเพิ่มขึ้น เป็น 112 แรงม้า ขณะที่เกียร์แบบ 4 Speed ที่มาพร้อม Manual mode ขณะที่คู่แข่งอย่าง Mazda 2 เป็น เกียร์อัตโนมัติ6 สปีด ขณะที่ฮอนด้าแจ๊ส ใช้ ระบบเกียร์อัตโนมัติ CVT

MG3 ตัวใหม่ มีทั้งหมด 5 สี เหลือง-ทิวดอร์ เยลโล่ (Tudor Yellow), แดง-รูบี เรด (Ruby Red), ฟ้า-มารีนา บลู (Marina Blue), ขาว-อาร์กติกไวท์ (Arctic White) และดำ-แบล็คไนท์ (Black Knight) โดยมี 4 รุ่นให้เลือก ได้แก่ รุ่น C ราคา 519,000 บาท, รุ่น D ราคา 549,000 บาท, รุ่น X Sunroof ราคา 589,000 บาท และรุ่น V Sunroof ราคา 629,000 บาท

เอ็มจี ระบุว่า สำหรับลูกค้าที่ซื้อก็จะได้ใช้ ระบบอัจฉริยะ i-SMART ฟรี เป็นระยะเวลา 5 ปี ตัวรถรับประกันคุณภาพนาน 4 ปี หรือ 120,000 กิโลเมตร บริการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง (Roadside Assistance) และยังมี บริการเช็คระยะนอกสถานที่ (Mobile Services)

ถามว่ารถคันนี้เหมาะกับใคร? ก็น่าจะเหมาะกับคนรุ่นใหม่ ที่ชอบเรื่องเทคโนโลยี ที่ใช้งานง่าย อย่าง i-SMARTและชอบ Option อย่างซันรูฟ ซึ่งได้มาในรถระดับราคา 5-6 แสนบาท และ เครื่อง 1500 cc อีกด้วย ทั้งนี้ทั้งนั้น เนื่องจากผู้อ่านทุกคนคงไม่ได้มีรสนิยมในการขับขี่รถยนต์เหมือนกันหมด ทางที่ดีคือต้องไปทดลองขับขี่ด้วยตนเองก่อนตัดสินใจ

ซันรูฟ ให้มาในรุ่น X และ รุ่น V
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image