ทดลองขับ”เรนเจอร์ แร็พเตอร์” สมรรถนะดี ช่วงล่างเด่น ขับสนุก บุกจนลืมหลุม

บอกก่อนตั้งแต่เริ่มบทความเลยครับว่า สำหรับสาวก หรือผู้ที่ชื่นชอบและสนใจ กระบะฟอร์ด ที่กำลังมองหารถกระบะสมรรถนะดี ใช้งานในชีวิตประจําวันปกติบนถนนเมืองไทย วิ่งบนถนนดำเป็นหลัก อาจมีลุยบนถนนฝุ่นบ้าง มีบรรทุกหนัก หรือโดยเฉพาะหากเป็นคนในเมือง อยากได้กระบะ ที่เครื่องยนต์แรงและระบบเกียร์ดี ระบบช่วยเหลือการขับขี่และความปลอดภัยที่ดีระดับหนึ่ง ขอให้เข้าไปศึกษา แล้วเดินเข้าไปในโชว์รูมเพื่อทดลอง Ford Ranger Wildtrak ปี 2018 ในราคา 1,265,000 บาท แค่นั้นก็เพียงพอ

ที่กำลังจะพูดถึงต่อไปนี้คือกระบะที่ต่อยอดจาก Ford Ranger Wildtrak ในเรื่องสมรรถนะการขับขี่โดยเฉพาะในฝุ่น อาจกล่าวได้ว่ามันเป็นรถกระบะที่ท่านสามารถซื้อได้ตามโชว์รูมทั่วประเทศที่มีสมรรถนะดีที่สุดที่เคยทำตลาดในประเทศไทย คุณจะไม่มีทางหาซื้อรถระดับนี้ได้จากค่ายอื่น มันคือ Ford Ranger Raptor นั่นเอง

Ford Ranger Raptor เปิดตัวครั้งแรกของโลกในเมืองไทย เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ครั้งนั้นเป็นการเผยโฉม ที่สร้างเสียงฮือฮาเป็นอย่างยิ่ง ด้วยการโชว์สมรรถนะ โหมดการขับขี่ กลางทะเลทราย คล้ายรถแรลลี่รายการแข่งขันระดับโลก

หลังจากได้เห็นสมรรถนะกันแล้ว Ford ก็ได้ทำการเปิดตัวราคาของเจ้าแร็พเตอร์ ที่พุ่งไปถึง 1,699,000 บาท จัดว่าเป็นกระบะแพงที่สุด (ภาษีสรรพสามิต 17 เปอร์เซ็นต์ ) ซึ่งแน่นอนมันมาพร้อมกับสมรรถนะที่ไม่เหมือนใคร

Advertisement
Ford Ranger Raptor ขณะอยู่บนท้องถนน

อย่างที่เกริ่นไปแล้วข้างต้น หากผู้อ่านต้องการรถกระบะ ที่ใช้งานทั่วไปตามปกติ Ranger Wildtrak ก็เพียงพอ โดยเฉพาะรุ่นล่าสุดที่มีการปรับเครื่องและเกียร์ใหม่ และใส่ระบบช่วยเหลือต่างๆมาอย่างเต็มที่ และเครื่องเกียร์ตัวเดียวกันนี้ยังนำมาใช้กับแร็พเตอร์ แต่สิ่งที่เจ้าแร็พเตอร์มีเหนือกว่า คือสมรรถนะของช่วงล่าง และโหมดการขับขี่ที่สนุกสนานบุกตะลุยไปได้ทุกที่ทุกสภาพถนน

มันจึงกลายเป็นกระบะระดับพรีเมี่ยม ที่ ฟอร์ดหวังเจาะตลาด คนที่ต้องการใช้รถกระบะที่ดีขึ้นอีกมาระดับหนึ่ง มีคนประเมินตอนแรกว่าอาจขายไม่ได้มาก ฟอร์ดแค่ทำมาประดับบารมีให้กับแบรนด์กระบะให้แข็งแกร่งขึ้น

อาจไม่ใช่ซะทีเดียว อย่าลืมว่านิสัยคนไทยมีคนที่ชอบแต่งรถ พอถอยออกจากโชว์รูมก็เอาไปเปลี่ยนล้อ เปลี่ยนแม็ก เปลี่ยนโช๊คอัพ ช่วงล่างใหม่ แต่งกันแพงๆ ดังที่เราเห็นกันตามท้องถนน

Ford Ranger Raptor จึงพยายามอุดปัญหานี้ โดยทำให้เห็นว่ามันมีกระบะที่ถอยออกไปจากโชว์รูมแล้วไม่ต้องทำอะไรอีกมันเป็นไปได้

หลังเปิดตัวไม่นาน ฟอร์ด นำสื่อมวลชนกลุ่มแรกจากไทยไปสัมผัสสมรรถนะของแร็พเตอร์ ที่ประเทศออสเตรเลีย จากภาพข่าว เราได้เห็นการบุกตะลุย และสมรรถนะของฟอร์ดเรนเจอร์แร็พเตอร์ในทางฝุ่น แต่ก็ยังไม่ได้เห็นสมรรถนะจริงๆของมันในพื้นถนนประเทศไทยมากนัก

ด้านท้ายของ Ford Ranger Raptor สูง จุดเด่นคือช่วงล่าง

ล่าสุดถึงคิว การจัดทดสอบ Ford Ranger Raptor ในประเทศไทย โดยเชิญสื่อมวลชน ไปทดสอบการขับขี่เจ้าแร็พเตอร์ เป็นอีก 2 วัน ที่จังหวัดนครราชสีมา วันแรกเป็นการทดสอบสมรรถนะและช่วงล่างบนสนามที่ถูกจำลองขึ้น ให้เห็นสมรรถนะบางส่วน โดยเป็นเส้นทางจำลอง ที่มีการปรับพื้นดิน ให้ได้ทดสอบช่วงล่างในหลายด่าน รวมถึงการวิ่งบนพื้นหญ้า และโดยเฉพาะวันดังกล่าวมีฝนตกลงมา ก็เห็นการทรงตัวของมันในย่านความเร็วสูง และยังได้ทดสอบว่ามันบินได้จริงไหม เหมือนที่เขาฮือฮากัน ด้วยการลองพุ่งขึ้นเนินที่ไม่สูงมากด้วยความเร็วกว่า 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

ความเร็ว 80 กม./ชม. ฝนตกถนนลื่นเป็นหลุมก็โดดได้
พื้นหญ้าที่ค่อนข้างลื่นก็ไปได้

ส่วนวันที่ 2 เป็นการทดลองขับขี่บนเส้นทางหินกรวด สลับกับดิน และร่องน้ำ หลุมที่ขรุขระ โดยเป็นเส้นทางสำรองที่ฟอร์ดจัดไว้ ที่ทุ่งกังหันลมห้วยบง จังหวัดนครราชสีมา ระยะทางทดสอบจริงประมาณ 14 กิโลเมตร ต้องผ่านทั้งทางลูกรังซึ่งเป็นหินกรวดและทางดิน มีอ่างน้ำเป็นบางช่วง บางช่วงเป็นเนิน ซึ่งตีนเนิน จะเป็นร่องทางน้ำไหล ซึ่งเป็นรถทั่วไปคงต้องค่อยๆหยอด เพื่อที่จะผ่านมันไปให้ได้ ตรงนี้แม้ระยะทางจะไม่ยาวมากแต่ก็มีบางช่วงสามารถใช้ความเร็วได้

จากการทดสอบของผู้เขียน มันสามารถวิ่งด้วยความเร็วประมาณ 110 กิโลเมตรต่อชั่วโมง บนถนนหินกรวดดังกล่าวได้ เป็นไปตามคาด แต่จากการสอบถามเพื่อนสื่อมวลชนสำนักอื่น บางคนได้มากกว่านี้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ขอย้ำว่า เราขับโดยมีผู้ที่ชำนาญการขับขี่รถออฟโรด นั่งไปด้วย หากใครคิดจะทดลองขอให้ใช้วิจารณญาณคำนึงถึงความปลอดภัยให้ดีทั้งตัวเองและผู้อื่น

 

เพื่อทำความเข้าใจว่า ทำไม Ford Ranger Raptor จึงสามารถทำความเร็วได้ขนาดนั้นบนทางฝุ่นหินกรวด เต็มไปด้วยหลุมบ่อแบบไทยๆ เราไปรู้จักตัวรถกันก่อน

เริ่มตั้งแต่ รูปลักษณ์ภายนอกของ ford ranger Raptor คุณจะได้รถที่มีหน้าตา ค่อนข้างดุดัน ไฟหน้าแบบ HID โปรเจกเตอร์ ปิด-เปิด อัตโนมัติ กระจังหน้ามาพร้อมโลโก้ฟอร์ดตัวพิมพ์ใหญ่ภาษาอังกฤษ ความกว้างของรถไม่รวมกระจกมองข้าง คือ 2,028 มิลลิเมตร ยาว 5,398 มิลลิเมตร สูง 1,873 มิลลิเมตรความสูงใต้ท้องเครื่องอยู่ที่ 283 มิลลิเมตร ระยะช่วงล้อหน้าและล้อหลังที่กว้างขึ้น 150 มิลลิเมตร แก้มข้างรถคู่หน้าแบบใหม่ผลิตมาจากวัสดุคอมโพสิท ช่วยเรื่องความทนทานมากขึ้น นอกจากนี้มันยังถูกตีโป่งขยายออก เพื่อรองรับการยุบตัวของโช๊คและยางออฟโรด ส่วนแผงกันชนหน้ามาพร้อมไฟตัดหมอกแบบ LED และช่องรีดอากาศ ซึ่งช่วยลดการต้านลมของตัวรถ

ล้อเป็นล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว โดย Ford เลือกใช้ยาง All-terrain BF Goodrich ขนาด 285/ 70 r17 พี่ฟอร์ดระบุว่าเป็นยางที่พัฒนาขึ้นมาเป็นพิเศษสำหรับ เจ้าเรนเจอร์ แร็พเตอร์โดยเฉพาะ ลักษณะภายนอกแก้มยางทนทานสูง ลุยได้ทุกสภาพถนน ดอกยางขนาดใหญ่พิเศษ ไปได้ทั้งสภาพถนนที่เปียกลื่น มีโคลน หรือจะเป็นพื้นทรายและหิมะ

มีแผ่นกันกระแทกใต้ท้องรถ อีกจุดที่สะดุดตาคือบันไดขึ้นทางด้านข้าง ที่ทำขึ้นจากวัสดุอลูมิเนียมสีดำ ที่ค่อนข้างแข็งและทนทาน ไม่ได้เอาเท่อย่างเดียวแต่ใช้งานได้จริง ผิวจะไม่เรียบ คล้ายกระดาษทราย เหยียบแล้วไม่ลื่น มีฝาท้ายแบบผ่อนแรงแบบที่มีใน Ford Ranger Wildtrak ช่วยลดแรงจากปกติได้ถึง 70 เปอร์เซ็นต์ เด็กๆหรือผู้หญิงก็เปิดปิดได้

ยาง All-terrain BF Goodrich ขนาด 285/ 70 r17 พี่ฟอร์ดระบุว่าเป็นยางที่พัฒนาขึ้นมาเป็นพิเศษสำหรับ เจ้าเรนเจอร์ แร็พเตอร์โดยเฉพาะ
รูปร่างของมันขณะอยู่บนเขาใหญ่
รองรับการวิ่งบนถนนทางกรวดหินได้อย่างสบาย

มาดูกันที่ภายในห้องโดยสารกันบ้าง ภายในห้องโดยสารแต่งเป็นโทนดำ เบาะที่นั่งคนขับปรับได้ 8 ทิศทาง ส่วนผู้โดยสารปรับได้ 6 ทิศทาง ได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะและบุด้วยหนังกลับ โอบกระชับตัวดี การเดินด้ายสีน้ำเงิน เลือกใช้วัสดุหนังใส่เข้าไปในหลายจุด พวงมาลัยบุหนังลายฉลุ ช่วยให้จับถนัดดี และมาพร้อมแป้น Paddle Shift ขนาดใหญ่ที่ผลิตจากแม็กนีเซียมน้ำหนักเบา ดูแข็งแรง ช่วยให้เปลี่ยนเกียร์ได้ฉับไวและแม่นยำ ตรงนี้จะต่างกับเจ้า Ranger Wildtrak ตัวล่าสุด ซึ่งส่วนช่วยเปลี่ยนเกียร์ตรงนี้จะไปอยู่ที่คันเกียร์เป็นปุ่มบวกลบ

มีการสลักลายโลโก้แร็พเตอร์ลงบนขอบพวงมาลัย และยังติดตั้งแถบบอกตำแหน่งองศาพวงมาลัย On-Centre Marker ที่เป็นแถบสีแดงด้านบนตรงกลางของพวงมาลัย ซึ่งก็ให้ความรู้สึกดี ช่วยให้เรารู้ตำแหน่งของพวงมาลัยขณะขับขี่ได้ มีถุงลมนิรภัยให้ 6 จุด มีระบบควบคุมความเร็ว หรือ ครูสคอนโทรล แต่ไม่มีระบบช่วยจอดอัจฉริยะ และไฟแต่งห้องโดยสารแบบ Ford Ranger Wildtrak 2018 ตัวล่าสุด

แถบสีแดงด้านบนตรงกลางของพวงมาลัย ช่วยให้เรารู้ตำแหน่งของพวงมาลัยขณะขับขี่ได้

กุญแจรีโมทอัจฉริยะพร้อมปุ่มกดสตาร์ท มีระบบนำทาง พร้อมหน้าจอแสดงผลสัมผัสขนาด 8นิ้ว รองรับ Apple Car Play และ Android Auto ระบบเชื่อมต่อบลูทูธ และสั่งงานด้วยเสียงภาษาไทยหรือ Sync 3 ช่องต่อ USB 2 จุด มีลำโพงให้ 6 จุด พร้อมกล้องมองขณะถอยหลังและสัญญานเตือน ในห้องโดยสารมีช่องต่อไฟ 12 V และ 230 V ระบบปรับอากาศแยกอิสระซ้าย-ขวา ภายในห้องโดยสารยังมีระบบตัดเสียงรบกวนภายในห้องโดยสารด้วย เป็นอันว่าครบครัน

เรื่องพื้นที่เหนือศีรษะก็ไม่ต้องห่วงทั้งคนนั่งและคนขับเพราะกว้างขวางดี เข็มขัดนิรภัย 5 ตำแหน่ง ด้านหน้าสามารถปรับระดับได้ทั้ง 2 ที่นั่ง ส่วนพื้นที่เก็บของ และที่วางแก้วน้ำ ก็มีมาให้ครบ ด้านหลังจะมีที่วางแขนโดยสามารถดึงออกมา แล้ววางแก้วน้ำได้อีก

ทัศนวิสัยจัดว่าดีเนื่องจากสูงกว่ารถชาวบ้านเขานิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้มากเกินควร อาจจะกังวลหน่อยในเรื่องความกว้างของตัวรถ ปัจจุบันหลายคนซื้อไปใช้งาน โดยเฉพาะในกรุงเทพ เวลาจะเข้าไปจอดในห้างคุณต้องคำนวณให้ดีว่ามันเข้าได้ไหม และมันจะไม่ขวางชาวบ้านด้วย และขอแนะนำให้หลีกเลี่ยงการเข้าไป ขับในซอยเล็กๆ และแม้คุณจะรู้ขนาดของมัน แต่เพื่อนร่วมทางคนอื่น อาจจะมีปัญหากับมันก็ได้ หุหุ

ภายในห้องโดยสาร
มีระบบตัดเสียงรบกวนภายในห้องโดยสารด้วย
หน้าจอแสดงผลสัมผัสขนาด 8นิ้ว รองรับ Apple Car Play และ Android Auto ระบบเชื่อมต่อบลูทูธ และสั่งงานด้วยเสียงภาษาไทยหรือ Sync 3
ในห้องโดยสารมีช่องต่อไฟ 12 V และ 230 V
ที่นั่งผู้โดยสารด้านหลังมีพื้นที่กว้างพอประมาณ
ด้านหลังจะมีที่วางแขนโดยสามารถดึงออกมา แล้ววางแก้วน้ำได้อีก

มาดูกันในเรื่องเครื่องยนต์ ขุมกำลังในการขับเคลื่อนรถคันนี้คือเครื่องยนต์ Bi-Turbo (เทอร์โบคู่) ขนาด 2.0 ลิตร กำลัง 213 แรงม้าและแรงบิด 500 นิวตันเมตร เหมือนกับ เรนเจอร์ ไวด์แทรคนั่นเอง ไม่ได้มีการปรับจูนแต่ประการใด แรงม้าเท่ากันหมด

ขอขยายความนิดนึงสำหรับคนที่ยังไม่รู้จักเครื่องยนต์ตัวนี้ของฟอร์ด สำหรับการทำงานของเครื่องยนต์เทอร์โบคู่ ประกอบกันด้วยเทอร์โบลูกเล็ก หรือ High-Pressure (HP Turbo) เป็นเทอร์โบแรงดันสูง และ เทอร์โบลูกใหญ่ Low-Pressure (LP Turbo) เป็นเทอร์โบแรงดันต่ำ โดยเทอร์โบลูกเล็กจะทำงานแบบแปรผัน ทำงานในความเร็วรอบต่ำ ส่วนความเร็วในรอบปานกลางเทอร์โบทั้ง 2 ตัวจะช่วยกันอัดอากาศเข้าไปในห้องเผาไหม้ พอถึงช่วงรอบสูงก็จะเป็นหน้าที่ของ เทอร์โบลูกใหญ่ แถมยังเปลี่ยนใช้ระบบสายพานไทม์มิ่งแทนระบบโซ่ ซึ่ง ฟอร์ดระบุว่ามันจะทนกว่าเพราะเอาสายพานไปจุ่มน้ำมันเครื่อง

มากกว่านั้น ฟอร์ด ระบุว่า ยังทดลองเรื่องของความทรหดอดทนของมัน วิธีการที่ฟอร์ดทำคือการทำให้เทอร์โบทั้ง 2 ลูกร้อนจัด จนกลายเป็นสีแดงนาน 200 ชั่วโมงติดต่อกัน ลูกปืนเทอร์โบที่ผลิตจากอัลลอยคุณภาพสูง ทนความร้อนได้สูงถึง 860 องศาเซลเซียส เทอร์โบแรงดันต่ำที่ระบายความร้อนด้วยน้ำ ทำให้เครื่องยนต์สามารถทนต่ออุณหภูมิระดับสูงได้

เครื่องยนต์ Bi-Turbo (เทอร์โบคู่) ขนาด 2.0 ลิตร กำลัง 213 แรงม้าและแรงบิด 500 นิวตันเมตร

ส่วนระบบส่งกำลัง เกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด เหมือนในเรนเจอร์ Wildtrak – Everest ตัวล่าสุด หรือจะเป็น Mustang ที่เตรียมจะนำเข้ามาเปิดตัวในไทยก็ใช้เกียร์ตัวนี้ ซึ่งข้อดีของเกียร์ที่พัฒนาขึ้นมาใหม่และมีถึง 10 Speed คือช่วยให้ประหยัดน้ำมันมากขึ้นกว่าเดิมแถมยังเพิ่มความนุ่มนวลในการขับขี่มากขึ้น

หากขับขี่โหมดปกติ ก็จะนุ่มนวล และยังสามารถเลือกการขับขี่แบบแมนนวล เปลี่ยนเกียร์ขึ้นลงได้เองเพื่มความสนุก แป้น Paddle Shift ตอบสนองไวใช้ได้ ได้อารมณ์ เร็วกว่าระบบแมนนวลของเรนเจอร์ Wildtrak หรือเลือกการขับขี่โหมดสปอร์ต ก็สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้เร็วไวในขณะที่รอบเครื่องสูง

ตลอด 2 วัน ที่ทดสอบโดยขับขี่ไปแบบทั่วไป มีทั้งในเมืองและนอกเมือง อัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันอยู่ที่ประมาณ 12 ถึง 13 กิโลเมตรต่อลิตร ถือว่าใช้ได้เลย ถ้าเกิน 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตัวเลขจะอยู่ประมาณ 10 กิโลเมตรต่อลิตร แต่ถ้าขับขี่ในSport หรือโหมด baja ก็จะซดน้ำมันเพิ่มขึ้น ที่ทดสอบกันในสนามโดยใช้โหมดBaja ตัวเลขรถไปถึง 7 กิโลเมตรต่อลิตร ย้ำว่าตัวเลขนี้ไม่ใช่ตัวเลขที่แน่นอนและไม่สามารถจะนำไปยืนยันได้ เพราะมันเป็นแค่การคำนวณของตัวผู้เขียนเอง แต่ถ้าย้อนกลับไปดูตัวเลขที่ฟอร์ดเคลมไว้ คือ 8.4 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร หรือประมาณ 11.9 กิโลเมตรต่อลิตรครับ

ช่วงล่างของเรนเจอร์ แรพเตอร์ แชสซีได้รับการออกแบบใหม่มาเป็นพิเศษทนต่อแรงกระแทกที่อาจเกิดจากการขับขี่ออฟโรดโดยเฉพาะ ผลิตจากเหล็กอัลลอย HSLA (High-Strength Low-Alloy) เกรดต่างๆ
อันนี้ใครหวังจะเอาเรนเจอร์ ธรรมดาไปแต่งให้เหมือนแรพเตอร์จึงทำไม่ได้

แถมยังมาพร้อมระบบเบรกคู่หน้าและหลังเป็นเป็นดิสก์เบรกขนาดใหญ่พิเศษ พร้อมครีบระบายความร้อน ใช้ชิ้นส่วนพิเศษที่ทำขึ้นเฉพาะรุ่น ด้านหน้ามีขนาดใหญ่ถึง 332 x 32 มิลลิเมตร ด้านหลัง ครีบระบายความร้อนขนาด 332 x 24 มิลลิเมตร คู่กับคาลิปเปอร์เบรกขนาด 54 มิลลิเมตร ระยะเบรกความรู้สึกกำลังพอดี ไม่ลึกหรือว่าเร็วจนเกินไป ในโหมดการขับขี่ความเร็วสูง หรือโหมด baja ก็เอาอยู่

จุดเด่นการขับขี่ คือ โหมดการขับขี่ มีให้เลือก 6 โหมด เปลี่ยนก็ง่ายไปตามสภาพถนนที่ต้องการ แค่กดเลือกโหมดจากปุ่มกดบนพวงมาลัย มีให้เลือก ทั้งโหมดธรรมดาเน้นนุ่มๆ สปอร์ตเน้นอัตราเร่งดี โหมดทุ่งหญ้า-หิมะ ที่ออกแบบมาให้ขับขี่บนทางออฟโรดที่มีพื้นผิวลื่นและเป็นหลุมบ่อ ซึ่งระบบจะทำการเปลี่ยนเกียร์อย่างนุ่มนวลพร้อมทั้งออกตัวด้วยเกียร์สอง ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและลดอัตราการลื่นไถลของล้อรถ โหมดหินสำหรับพื้นผิวในเขตภูเขาลาดชัน ใช้ความเร็วต่ำ เน้นการควบคุมรถให้ขับเคลื่อนอย่างช้าๆ โหมดโคลน/ทราย ที่สามารถปรับการตอบสนองของระบบควบคุมการลื่นไถลให้เหมาะสมกับพื้นผิวที่มีความลึกและเปลี่ยนสภาพได้อย่างพื้นทรายและโคลน ด้วยการใช้เกียร์ต่ำที่มีแรงบิดสูง

โหมดการขับขี่ มีให้เลือก 6 โหมด

เด่นสุดคือโหมด baja ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากการแข่งขันแรลลี่กลางทะเลทรายบาฮาที่ประเทศเม็กซิโกอันเลื่องชื่อ โดยระบบจะปรับการตอบสนองของเครื่องยนต์ให้เหมาะกับการขับขี่ออฟโรดด้วยความเร็วสูง ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีจะถูกตัดการทำงาน เพื่อไม่ให้แทรกแซงการทำงานของเครื่องยนต์ ระบบเกียร์จะถูกปรับให้มีประสิทธิภาพการทำงานสูงสุด โดยระบบจะค้างรอบเครื่องไว้นานขึ้นและเปลี่ยนเกียร์ลงอย่างรวดเร็วกว่าเดิม เรียกว่าพร้อมตะลุย

ที่ทำแบบนี้ได้เพราะระบบกันสะเทือนที่ดี ด้านหน้าเป็นแบบอิสระปีกนกอลูมิเนียม 2 ชั้น พร้อมโช๊ค Fox Racing Shox และโช้คหลังแบบคอยล์โอเวอร์ช็อคพร้อมโช๊ค Fox Racing Shox แบบมีซับแท็งค์ ผลิตโดย FOX เพิ่มแรงต้านเมื่อมีการกระแทกเต็มช่วงยุบกระบอกสูบ และจะลดแรงต้านเมื่อขับขี่บนถนนทางเรียบเพื่อการขับขี่ที่นุ่มนวล มีระบบกันสะเทือนวัตต์ลิงค์ ช่วยการขับขี่ความเร็วสูงบนสภาพผิวถนนที่ขรุขระโดยเฉพาะทำให้คุมรถได้

พูดให้เห็นภาพก็คือ ในสนามทดสอบทั้งสนาม 8 Speed ที่เขาใหญ่ ซึ่งถูกปรับสนามใหม่ให้ใช้สำหรับทดสอบเรนเจอร์ แร็พเตอร์โดยเฉพาะ ทางขรุขระ เป็นหลุมเป็นบ่อ มองแว๊บแรกก็แทบจะไม่อยากเอารถมาวิ่ง เจ้าแร็พเตอร์สามารถผ่านไปได้อย่างง่ายดาย มากกว่านั้นในรอบที่ผมทดสอบ ฝนดันตกลงมาอย่างหนัก พื้นหญ้าก็เปียกลื่น การใช้ความเร็วสูง ยังสามารถคุมรถอยู่ แก้อาการไม่ยาก ในเนินกระโดด ซึ่งคันหน้าๆที่มาก่อนผู้เขียน ทำเนินไว้จนเสีย มีรอยล้อขนาดลึกเพราะฝนตกด้วย ก็สามารถกดคันเร่งแล้วจับพวงมาลัยนิ่งๆ พาเจ้าแร็พเตอร์กระโดดจากเนินได้ ด้วยความเร็วประมาณ 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมงตามที่ instructor กำหนด ในสนามดังกล่าวเรายังได้ทดสอบการปีนป่ายหินกรวดเชิงเขา ทดสอบ ระบบช่วยทางหลงลาดชัน การลงแอ่งน้ำ ค่อนข้างประทับใจ

หนักกว่านั้นคือวันที่ 2 ที่ลานกังหันลมผลิตไฟฟ้าห้วยบง จังหวัดนครราชสีมา ตรงนี้สนามทดสอบที่ฟอร์ด จัดไว้ระยะทางไปกลับ 14 กิโลเมตร เจอทั้งถนนหิน กรวด ที่เป็นทางน้ำเซาะไว้ ถนนลูกรัง ถนนดิน แอ่งน้ำที่มีโคลน เจ้าแร็พเตอร์สามารถผ่านไปได้สบาย โดยใช้โหมด baja บนถนนหินหรือกรวดหรือลูกรัง มันสามารถทำความเร็วสูงได้

ช่วงล่างที่ดียังมาพร้อมกับ ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ที่ทำงานร่วมกับฟังก์ชั่นการป้องกันการพลิกคว่ำ ด้วยเซนเซอร์ที่ช่วยตรวจจับและลดอัตราการเลี้ยวเกิน เลี้ยวขาด และการพลิกคว่ำ

ถามว่าแล้วถ้าใช้จริงในประเทศไทยเป็นอย่างไร บอกเลยว่า ตลอด 2 วัน ที่วิ่งผ่านถนนดำที่ขรุขระ เป็นหลุมเป็นบ่อบางช่วง หากเป็นรถปกติ ก็ต้องชะลอความเร็ว แต่เรนเจอร์แร็พเตอร์ สามารถพุ่งไปได้โดยไม่จำเป็นต้องชะลอความเร็ว พูดให้เห็นภาพก็คือ มันเป็นรถที่ไม่กลัวหลุมในถนนแบบที่เจอๆกันทั่วไปในประเทศไทย บนถนนดินหรือหินกรวด วิ่งด้วยความเร็วสูง มันก็นิ่งอย่างที่คุณจะไม่ได้เจอในรถบ้านทั่วไป ตอนช่วงขับยังคิดเลยว่า ถนนเมืองไทยมักมีการทำเนินชะลอความเร็ว โดยเฉพาะถนนรองหรือถนนในหมู่บ้าน ด้วยสมรรถนะของมันอาจทำให้เจ้าของลืมที่จะชะลอเวลาผ่านเนินชะลอรถในแบบประเทศไทยก็ได้ หุหุ

เอาเป็นว่า ทางกรวด หิน ดิน ทราย ไม่หวั่น ผ่านได้ด้วยความเร็วสูง กระโดดได้แบบโฆษณา ถือพวงมาลัยนิ่งๆก็จบ ทั้งนี้การทดสอบอยู่ภายใต้การควบคุมของทีมงาน ไม่ขอแนะนำให้ไปทำตาม ส่วนขับถนนปกติก็ไปได้ ความเร็วสูงสุดที่ทดลองทำดู ได้ที่ 170 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งน่าจะได้มากกว่านี้ แต่เราต้องถอนคันเร่งด้วยเงื่อนไขความปลอดภัย และอันที่จริงก็คงไม่มีใครซื้อ Ford Ranger Raptor มาขับทำความเร็วกันมากขนาดนี้ เพราะยางของมันไม่ได้ออกแบบมาให้ซิ่ง มันเป็นรถลุยๆ แค่เกิน 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงขึ้นไป ก็เริ่มจะได้ยินเสียงยางแล้ว ถ้าเกิน 140 ยิ่งจะได้ยินชัด

สภาพรถหลังการทดสอบขับอย่างเต็มที่

คำถามคือมันเหมาะกับใคร ในราคาเกือบ 1,700,000 บาท ถ้าจะให้เทียบกับคู่แข่งต้องบอกว่าไม่มีเลย กระบะประเทศไทยตอนนี้ที่ขายตามโชว์รูมไม่มีใครเทียบกับมันได้ สำหรับสาวก หรือผู้ที่สนใจกระบะฟอร์ด และกำลังมองหารถกระบะสมรรถนะดี ใช้งานในชีวิตประจําวันปกติบนถนนเมืองไทย วิ่งบนถนนดำเป็นหลัก อาจมีลุยบนถนนฝุ่นบ้าง มีบรรทุกหนักๆ มีระบบช่วยเหลือการขับขี่และความปลอดภัยที่ดีระดับหนึ่ง ขอให้เข้าไปศึกษาและทดลองขับ เรนเจอร์ ไวลด์แทรค ปี 2018 ในราคา 1,265,000 บาท ก็เพียงพอแล้ว เพราะสิ่งที่จะได้จากเจ้าไวลด์แทรค ปี 2018 และเรนเจอร์แร็พเตอร์ไม่มี คือระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติเวลามีคนหรือสัตว์มาตัดหน้ารถ และระบบช่วยจอดและค้นหาที่จอดอัตโนมัติ

หรือถ้าอยากได้ เครื่อง2.0 เทอร์โบคู่ เกียร์ 10 สปีด ขับเคลื่อน 4 ล้อ ในราคาที่ถูกกว่านี้ก็จะมีในตัว Limited เท่านี้ก็เพียงพอแล้วพูดจริงๆ

แต่ถ้าต้องการมากกว่านั้น บ้านไม่ได้อยู่ในซอยแคบๆในกรุงเทพฯ พอมีพื้นที่ให้มันได้วิ่ง ซื้อมาคันเดียวแล้วจบไม่ต้องแต่งอะไรเพิ่ม เจอหลุมบนถนนเมืองไทยแล้วไม่กลัว วิ่งยาวๆแบบลืมโวยวายกรมทางหลวงชนบท ก็ต้องเป็นคันนี้แล้วหล่ะ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image