‘เบนซ์ ซี 350 อี’ ปลั๊กอินไฮบริด เดอะเบสต์เทคโนโลยี

จั่วหัวกันแบบนี้เลยครับ หลังจากที่กลับไปทบทวนพัฒนาการทางด้านเทคโนโลยียานยนต์ของ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่ปลุกปั้นจากอดีตมาจนถึงทุกวันนี้ เราได้เห็นการลองผิด ลองถูก และใส่ใจในกระบวนการยกระดับคุณภาพยานยนต์ แบบที่หลายค่ายเห็นแล้วต้องอิจฉา

ใครจะเชื่อครับว่า เครื่องยนต์ดีเซลที่เมื่อก่อนนิยมใช้กับรถบรรทุก รถปิกอัพ วันนี้จะมาอยู่ในรถเก๋งหรูหรา แถมใช้งานได้ดีซะด้วย ทั้งประหยัดและทนทาน

ใครจะเชื่อว่าเทคโนโลยี “บลู เอฟฟิเชียนซี” จะแสดงแสนยานุภาพได้ชัดเจน แม้ขนาดเครื่องยนต์จะเล็กลง แต่ให้ประสิทธิภาพได้เท่าหรือมากกว่า

Advertisement

เครื่องยนต์ใหญ่และที่หลาย ๆ คนคาดไม่ถึง นอกจากเครื่องยนต์สันดาปภายในอย่างเดียวไม่พอยาไส้แล้ว ถ้าอยากได้กำลังที่เพิ่มขึ้น ก็ต้องเอามอเตอร์ไฟฟ้าเข้าไปเสริม อันนี้ได้ทั้งประหยัด แถมยังสะอาดช่วยลดพอลลูชั่น

4-5 ปีที่ผ่าน เทคโนโลยีไฮบริด ได้การยอมรับอย่างกว้างขวาง ปีที่แล้ว เบนซ์ ประสบความสำเร็จกับเทคโนโลยี “บลูเทค-ไฮบริด” แค่ปีเดียวดันยอดขายทะลุหมื่นคัน มาปีนี้ ผู้บริหารยืนยันว่า เบนซ์มีจุดขายใหม่ นั่นคือ เทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริด ไฮบริดธรรมดา ระหว่างวิ่งเก็บกระแสไฟฟ้าสะสมเอามาใช้กับมอเตอร์ไฟฟ้า แต่ปลั๊กอินไฮบริด เพิ่มปลั๊กเสียบไฟบ้านเพื่อชาร์จแบตเตอรี่ แล้วใช้ไฟฟ้าขับเคลื่อนรถทั้งคัน แถมวิ่งได้ระยะทางมากถึง 30 กม. ทำให้คำจำกัดความของเทคโนโลยีตัวนี้

Advertisement

ที่บอกว่าเป็น “เดอะเบสต์” ดูเป็นจริงเป็นจังมากขึ้นเมื่อต้นปี ค่ายเบนซ์แถลงผลประกอบการพร้อมแนะนำรถ ปลั๊กอินไฮบริด 2 รุ่น เป็นเอสคลาส 1 ตัว และซี-คลาส อีกหนึ่งตัว ซี-คลาสมีให้เลือก 3 แบบ เป็น “The C 350 e Exclusive ตั้งราคาขาย 2.99 ล้านบาท

ถัดมาเป็น C 350 e AMG Dynamic มีชุดตกแต่งสวยงาม จ่ายเพิ่มอีกเกือบ 5 แสนบาท และตัว C 350 e Estate AMG Dynamic ดีดราคาไปถึง 3.69 ล้านบาท รูปลักษณ์ภายนอกไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมาก แต่มีฟังก์ชั่น AIRPANEL ซึ่งสามารถเปิด-ปิดได้อัตโนมัติ ที่ช่วยเรื่องค่าสัมประสิทธิ์ความเสียดทาน รวมถึงการระบายอากาศที่ดียิ่งขึ้น

ภายในเน้นความหรูหรา ที่ไม่ลืมเด็ดขาดคือ touchpad ติดตั้งบริเวณที่พักแขนเพื่อควบคุมการทำงานอุปกรณ์ทุกอย่างที่โดดเด่นก็คือ โหมดการขับขี่ 3 รูปแบบ คือ อันแรกไฮบริด ระบบจะเน้นไปที่การใช้งานมอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนให้มากที่สุด และใช้เครื่องยนต์ขับเคลื่อนเท่าที่จำเป็น หากกระแสไฟในแบตเตอรี่มีปริมาณต่ำกว่า 20% ระบบจะใช้เครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนเท่านั้น แต่ถ้าเกียร์อยู่โหมดสปอร์ต อย่าหวังนะครับว่ามอเตอร์ไฟฟ้าจะทำงาน

ถัดมาเป็น E-MODE ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าอย่างเดียว ได้จนถึงความเร็ว 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็นระยะทางสูงสุด 31 กิโลเมตรโดยไม่มีการคายไอเสียใด ๆ โหมดนี้ได้ทั้งแรงบิดมหาศาลและเงียบจนเหงา

อีกโหมดในการขับขี่ซึ่งไม่เหมือนใคร คือ E-SAVE มอเตอร์ไฟฟ้าจะถูกใช้น้อยที่สุดเพื่อรักษาระดับกระแสไฟฟ้าในแบตเตอรี่ เหมาะกับการเริ่มต้นเดินทางก่อนที่จะเข้าเมือง เมื่อขับถึงในเมืองก็จะมีปริมาณกระแสไฟสูงสุด ที่จะใช้ E-MODE ได้ตลอดการขับขี่ในเมือง

ส่วนขุมพลังเป็นลูกผสม เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2,000 ซีซี ให้กำลังสูงสุดที่ 211 แรงม้า ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าอีก 82 แรงม้า ทำให้ได้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. แค่ 5.9 วินาที ความเร็วสูงสุดดีดขึ้นไปถึง 250 กม./ชม.

ถ่ายทอดกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด มีแพดเดิลชิฟต์ให้เลือกสนุกสไตล์แมนวล ระบบช่วงล่างเป็นแบบถุงลม ให้ความนุ่มนวล แต่หนึบหนับเอาเรื่อง

ถ้ารู้สึกว่ายวบไป ยังสามารถปรับเลือกโหมดสปอร์ตได้ เพื่อปรับตั้งความหนืดของโช้กและความแข็งของสปริง จัดเป็นรถที่ขับสนุก จี๊ดจ๊าด แต่ประหยัดแถมยังรักษ์โลกอีกด้วย

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image