‘อีซูซุ’ ขอขยับบังคับใช้ยูโร 5 วอน รบ.เร่งเบิกจ่ายงบ 63
เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ นายโทชิอากิ มาเอคาวะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด เปิดเผยถึงการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา จะมีผลกระทบต่อตลาดรถยนต์เมืองไทยอย่างไร ว่า จะบอกว่าไม่มีผลกระทบเลยคงไม่ได้ เพราะทุกภาคส่วนต่างมีความกังวลในเรื่องนี้ แต่สิ่งที่อีซูซุกังวลก็คือการสินค้าส่งออกไปยังจีนจะได้รับผลกระทบอย่างไรบ้าง แต่เชื่อว่าไม่นานเรื่องนี้คงจะจบ เพราะเรามีบทเรียนจากโรคซาร์สมาแล้ว เมื่อทุกคนร่วมมือกัน ก็สามารถผ่านพ้นไปได้ด้วยดี คาดว่าปีนี้ตลาดรถยนต์รวมในประเทศไทยน่าจะอยู่ที่ 9.3 แสนคัน จากปี 2562 อยู่ที่ 1 ล้าน 7 คัน ยังไม่รวมผลกระทบจากโคโรนา ซึ่งคงจะต้องมาประเมินกันอีกที เพราะยังไม่สามารถบอกได้ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป
เมื่อถามว่าแผนโปรโมต อีซูซุ ดีแมคซ์ ใหม่ ปีนี้เป็นอย่างไรบ้าง นายโทชิอากิกล่าวว่า เราเปิดตัวดึแมคซ์ ใหม่ ประมาณเดือนตุลาคมปีที่แล้ว แต่ยังไม่ครบทุกรุ่น พบว่ามีกระแสตอบรับดีมาก แต่ในปีนี้อีซูซุ ดึแมคซ์ ใหม่ จะมีครบทุกรุ่น จะมีการโปรโมตดีแมคซ์ใหม่อย่างเต็มที่
เมื่อถามว่า ปีที่แล้วยอดขายอีซูซุปิดที่เท่าไหร่ นายโทชิอากิกล่าวว่า ปีที่แล้วรวมทุกรุ่นเราขายได้ 168,215 คัน ลดลงประมาณ 5.4% เมื่อเทียบกับปี 2561 เราเพิ่งเปิดตัวรุ่นใหม่ช่วงไตรมาส 4 ปี 2562 และเป็นช่วงเศรษฐกิจโลกชะลอตัว โดยเฉพาะเศรษฐกิจจีน คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงปีนี้ และก่อนจะเกิดการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาก็มีเรื่องค่าเงินบาทแข็งค่า แม้ว่าช่วงนี้ค่าบาทจะอ่อนลงมาบ้าง เพราะเรื่องโคโรนา แต่เชื่อว่าก็จะกลับไปแข็งค่าเหมือนเดิม ส่งผลกระทบต่อการส่งออก รวมทั้งกระทบกับการท่องเที่ยว และยังมีปัญหาภัยแล้งอีก นอกจากนี้ยังมีปัญหางบประมาณ 2563 ล่าช้า ภาครัฐยังเบิกจ่ายไม่ได้ จึงอยากให้รัฐบาลเร่งนำงบ 63 ออกมาใช้จ่ายโดยเร็ว เพื่อทำให้เศรษฐกิจไทยคล่องตัวมากขึ้น สำหรับอีซูซุมองว่าถ้าปีนี้เราขายได้เท่าปีที่แล้วก็ถือว่าประสบความสำเร็จ เพราะตลาดรวมรถยนต์ปีนี้คาดว่าจะหดตัวลง สำหรับส่วนแบ่งการตลาดอีซูซุปีที่ผ่านมาอยู่ที่ประมาณ 16.7% ของตลาดรถยนต์รวม ส่วนปีนี้คาดว่าส่วนแบ่งตลาดจะมากกว่าปีที่แล้ว
เมื่อถามว่า ยอดส่งออกอีซูซุปึทึ่แล้วเป็นอย่างไรบ้าง นายโทชิอากิกล่าวว่า ปึที่แล้วเจอปัญหาค่าเงินบาทแข็ง ส่งผลกระทบต่อการส่งออก โดยเฉพาะตลาดออสเตรเลีย ตลาดส่งออกที่สำคัญของอีซูซุ โดยรวมแล้วปีทึ่แล้วอีซูซุส่งออกมากกว่า 1.4 แสนคันเล็กน้อย ส่วนปีนี้จะเริ่มส่งออก ดึแมคซ์ใหม่ เชื่อว่าจะทำให้ยอดการส่งออกปีนี้เพิ่มขึ้นเล็กน้อย
เมื่อถามว่า อีซูซุพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าหรือไม่ อย่างไร นายโทชิอากิกล่าวว่า อีซูซุพัฒนาเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าหรืออีวีอยู่แล้ว และมีการจำหน่ายรถยนต์อีวีในญี่ปุ่น แต่สำหรับในประเทศไทย คาดว่ารถยนต์ไฟฟ้าอาจต้องใช้เวลาอีกสักระยะ เพราะสิ่งอำนวยความสะดวกรถยนต์ไฟฟ้ากำลังพัฒนา อีกอย่างอีซูซุเป็นรถปิกอัพ อาจต้องใช้เวลาอีกสักระยะ อาจจะใช้รูปแบบไฮบริดไปก่อน และอีกอย่างรถปิกอัพใช้งานสมบุกสมบัน ไม่เหมือนรถเก๋ง อาจต้องใช้เวลาสักระยะในการพัฒนา สิ่งที่อีซูซุกำลังคิดเรื่องเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าคือ เรากำลังศึกษาความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า และเวลาที่เหมาะสมที่จะนำเสนอรถยนต์ไฟฟ้าให้กับลูกค้าคนไทย
เมื่อถามว่า ปีนี้นอกจากดีแมคซ์ใหม่แล้ว อีซูซุมีกิจกรรมอื่นอะไรที่สำคัญอีกบ้างหรือไม่ ที่จะทำให้ยอดขายอีซูซุ ดีแมคซ์ เติบโตขึ้น นายโทชิอากิกล่าวว่า ขณะนี้มีปัญหาฝุ่นพีเอ็ม 2.5 อีซูซุให้การสนับสนุนนโยบายรัฐบาลในการส่งเสริมใช้น้ำมัน บี20 เพราะจะเป็นการช่วยเหลือเกษตรผู้ปลูกปาล์ม และยังจะมีส่วนช่วยลดมลพิษ ที่สำคัญน้ำมันดึเซล บี20 ยังมีราคาถูกกว่าน้ำมันทั่วไปอีกด้วย
เมื่อถามว่า แผนการทำตลาดรถมือสองเป็นอย่างไรนายโทชิอากิกล่าวว่า ตอนนี้เราร่วมมือกับดีลเลอร์ขายรถมือสอง แต่ยังมีแค่บางสาขา เราเพิ่งเริ่มธุรกิจรถมือสอง อยากใช้รูปแบบนี้ไปก่อน แม้ว่ากำลังพิจารณาขยายสาขาเพิ่ม แต่ยังไม่มีรายละเอียดในขณะนี้ ยังคงใช้แพลตฟอร์มนี้ไปก่อน
เมื่อถามว่า จะใช้รูปแบบขายรถมือสองในโชว์รูมดีลเลอร์เหมือนโตโยต้า ชัวร์ หรือไม่ นายโทชิอากิกล่าวว่า เราจะไม่ทำเหมือนโตโยต้าชัวร์
เมื่อถามว่า อนาคตดีลเลอร์อีซูซุจะต้องปรับตัวอย่างไร เมื่อการขายรถยนต์ออนไลน์เข้ามามีบทบาทมากขึ้น นายโทชิอากิกล่าวว่า ตอนนี้เรายังไม่มึแผนขายรถใหม่แบบออนไลน์
เมื่อถามว่า รัฐบาลมีนโยบายปรับมาตรฐานไอเสียรถยนต์เป็น ยูโร 5 และ 6 ส่วนหนึ่งเพื่อลดปัญหาฝุ่นพีเอ็ม 2.5 อีซูซุมีการเตรียมตัวอย่างไรบ้าง นายโทชิอากิกล่าวว่า ถ้าเป็นระเบียบของทางรัฐบาล อีซูซุพร้อมปฏิบัติตาม อีซูซุไม่มีปัญหาเรื่องเทคโนโลยี เราส่งออกเครื่องยนต์มาตรฐานยูโร 5 และ 6 ไปต่างประเทศ แต่เรากังวลว่าปัญหาที่จะเกิดขึ้นสำหรับรถยนต์ที่เปลี่ยนเป็นมาตรฐานไอเสีย ยูโร5 และ 6 ในประเทศไทยก็คือเรื่องต้นทุนการผลิต อยากให้รัฐบาลให้การสนับสนุนการปรับเปลี่ยน เพราะการปรับเปลี่ยนเป็นมาตรฐานไอเสีย จากยูโร 5 เป็น 6 ภายในเวลาปีเดียว ภาระต่างๆ จะไปตกอยู่กับผู้บริโภค คงไม่สามารถบอกได้ว่าการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว จะต้องชดเชยให้อย่างไร แต่ผู้ผลิตรถยนต์มีต้นทุนเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ แต่ละบริษัทมีต้นทุนต่างกัน อีกจุดอยากให้ดูเรื่องน้ำมัน เพราะบริษัทน้ำมันจะพร้อมผลิตน้ำมันสำหรับ ยูโร 5 ในปี 2024 ตอนนี้น้ำมันยังเป็นยูโร 4 อยู่ ดังนั้น จึงอยากให้ประกาศใช้ ยูโร5 อีก 5 ปี ข้างหน้าพร้อมน้ำมัน