“รัฐ-เอกชน” ประสานพลัง ปรับแผนดึงนักท่องเที่ยวจีนมาไทย พร้อมจับอาเซียนหนุนยอด

จากกรณีที่จำนวนนักท่องเที่ยวจีนในเดือนกันยายน 2561 ลดลง 14.89% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่รายได้ลดลง 11.49% เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาเกิดเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของตลาดจีน อาทิ ทัวร์ศูนย์เหรียญ, เหตุการณ์เรือล่มที่จังหวัดภูเก็ต และล่าสุดเจ้าหน้าที่สนามบินทำร้ายนักท่องเที่ยวจีน ส่งผลให้การท่องเที่ยวในช่วงนี้วูบลง จึงทำให้หลายฝ่ายเกิดความกังวลว่ากระทบต่อผลประกอบการในธุรกิจการท่องเที่ยวหรือไม่

อย่างไรก็ตาม จากการสำรวจพบว่าสถานการณ์นักท่องเที่ยวจีนย้อนหลังตั้งแต่ปี 2555 จนถึงปัจจุบัน เป็นทิศทางที่ดีขึ้น โดยเฉพาะในปี 2560 และต้นปี 2561 ก่อนเกิดอุบัติเหตุ

เรือล่ม มีจำนวนนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาเที่ยวไทยสูง แม้แต่ช่วงที่ต่ำสุดของปีนี้ ก็ยังมีปริมาณมากกว่าหลายปีที่ผ่านมา

“วีระศักดิ์”เน้นย้ำทุกฝ่ายต้องดู เรื่องความปลอดภัย

Advertisement

ซึ่งในเรื่องนี้ นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ระบุว่า จำนวนนักท่องเที่ยวจีนมีอัตราลดลงจริง จึงอยากจะขอให้ทุกหน่วยงานใส่ใจในเรื่องของการดูแลนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะด้านความปลอดภัย อาทิ เหตุการณ์เรือล่มในทะเล ทำให้มีนักท่องเที่ยวเสียชีวิตจำนวนมาก ส่งผล

กระทบถึงภาพลักษณ์ในด้านต่างๆ ในวงกว้าง พร้อมทั้งได้แสดงข้อมูลสถานการณ์นักท่องเที่ยวชาวจีนตั้งแต่ปี 2555-2561 จากสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดยส่วนของนักท่องเที่ยวชาวจีนที่แม้ในปีนี้ตัวเลขจะลดลง แต่ยังคงมีตัวเลขสูงกว่าสถิติในปีก่อนๆ ขณะที่ในช่วง 6 เดือนแรกของ

ปีนี้ พบว่า มีจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งหมดมากที่สุดเป็นประวัติศาสตร์ รวมไปถึงนักท่องเที่ยวชาวจีนด้วย โดยช่องทางที่มีอิทธิพลต่อการท่องเที่ยวของชาวจีนที่จะเดินทางเข้ามา อันดับแรก คือ คำบอกเล่าจากคนในประเทศ

Advertisement

“ขอย้ำปัญหาด้านต่างๆ โดยจุดที่ต้องเร่งแก้ไขคือ ปัญหาอุบัติเหตุระหว่างการท่องเที่ยวทางน้ำ และการถูกมิจฉาชีพฉกชิงวิ่งราวจึงกำกับหน่วยงานที่รับผิดชอบดูแลเป็นพิเศษ และเน้นย้ำการบูรณาการความร่วมมือทุกภาคส่วน ในการป้องกันการสูญเสีย ภัยอันตรายในด้านต่างๆ การอำนวยความสะดวกสบาย ความสะอาด และความปลอดภัยในการท่องเที่ยวในประเทศไทยให้มากขึ้น”

แนะถึงไทยแล้วไม่ต่ำกว่า12ชม.จึงไปทะเลได้

แผนการปรับฐานการท่องเที่ยวของประเทศไทย โดยร่วมมือกับทั้งภาคเอกชน และภาครัฐ ด้านสภาอุตสาหกรรม ตอนนี้ได้มีการวางมาตรการที่จะเตรียมเสนอเกี่ยวกับความปลอดภัย ซึ่งทางภาคเอกชนพร้อมที่จะสนับสนุนนโยบายด้านความปลอดภัย อาทิ มาตรฐานด้านความปลอดภัยเกี่ยวกับยานพาหนะ, มาตรฐานของผู้ขับขี่, มาตรฐานความปลอดภัยทางน้ำ, มีการยกระดับบุคลากรเข้ามาช่วยดูแลในเรื่องความปลอดภัย และมีโปรแกรมนำเที่ยวที่เหมาะสมกับตลาดจีน แต่ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนด คือ นักท่องเที่ยวต้องเดินทางมาถึงประเทศไทยไม่ต่ำกว่า 12 ชั่วโมงขึ้นไป ถึงจะจัดโปรแกรมนำเที่ยวทางทะเลได้ เป็นต้น

ส่วนในเรื่องของมาตรฐานด้านความปลอดภัย มีการสนับสนุนให้ทำประกันกับนักท่องเที่ยวชาวจีนที่จัดการเดินทางด้วยตนเอง (เอฟไอที) ซึ่งทางเอกชนเห็นด้วยกับเรื่องนี้ 100% เพราะถ้าประเทศไทยไม่เน้นเรื่องความปลอดภัยสูง นักท่องเที่ยวที่ไหนจะอยากเข้ามาเที่ยวในประเทศ ทั้งนี้ ควรอำนวยการในเรื่องของความสะดวกสบาย ตั้งแต่อยู่ที่หน้าด่านตรวจคนเข้าเมือง กรณีการเข้าแถวรอการตรวจเช็กวีซ่า หากนานกว่า 1-2 ชั่วโมง อาจส่งผลให้นักท่องเที่ยวเสียความรู้สึกได้ จึงอยากให้มีการนำระบบของต่างประเทศมาปรับใช้ในไทย อาทิ ประเทศญี่ปุ่นที่ใช้เวลาในการต่อคิวเพียง 10-15 นาที/คนเท่านั้น

กระตุ้นเพื่อนบ้านเที่ยวไทยปลายปี

นายวีระศักดิ์ระบุอีกว่า มาตรการกระตุ้นตลาดการท่องเที่ยวในช่วงปลายปี ไม่ได้หวังแค่นักท่องเที่ยวจีน แต่ทำตลาดประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนด้วย เพื่อทดแทนนักท่องเที่ยวที่หายไปในช่วงที่ผ่านมา สำหรับตลาดจีนจะมีการจัดงานอะเมซิ่งไทย ไทยเฟสติวัล ด้วยการนำเอาการแสดงที่เป็นวัฒนธรรมของไทย สร้างภาพลักษณ์ที่ดี ไปจัดแสดงในเมืองใหญ่ของจีน ทั้งปักกิ่ง

เซี่ยงไฮ้ เฉิงตู กว่างโจว คุนหมิง ด้วย ซึ่งมาตรการฟื้นฟูความเชื่อมั่นจะทำให้นักท่องเที่ยวจีนที่หายไป 1-2 ล้านคน กลับมาได้ และส่งผลให้ภาพรวมนักท่องเที่ยวปีนี้ดีขึ้นและจะเป็นไปตามเป้าที่

คาดไว้ที่ 37-38 ล้านคน

ยกเว้นค่าวีซ่า2เดือนดึงนักท่องเที่ยวจีนท้ายปี

ขณะที่ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ที่ต้องการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญกับนักท่องเที่ยวจีน โดยให้ทำควบคู่กันทั้งเรื่องการดูแลรักษาความปลอดภัยทั้งระบบ และแคมเปญการตลาดเพื่อดึงนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาประเทศไทยภายในปีนี้ให้ถึง 10 ล้านคน โดยใช้มาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียม Visa on Arrival (VOA) ซึ่งปกติจัดเก็บที่อัตรา 2,000 บาทต่อคน ใน 2 เดือนสุดท้ายของปีนี้ ตั้งแต่พฤศจิกายน-ธันวาคมนี้

จากกรณีดังกล่าว รมว.การท่องเที่ยวฯมีความเห็นเกี่ยวกับแนวคิดของรองนายกฯว่า ถึงเวลาที่ต้องดูเรื่องความปลอดภัยกันอย่างจริงจัง ไม่ใช่เอะอะก็ลดแลกแจกฟรี โดยยังไม่เจาะเข้าไปที่ประสบการณ์ที่แท้จริงของนักท่องเที่ยวเหล่านี้ว่ามีวัฏจักรที่ต้องพบกับอะไรบ้าง แล้วแก้ไขที่ตรงนั้นให้ได้ และอยากให้พิจารณาแยกแยะนักท่องเที่ยวจีน ไม่เหมาเอาหมดว่าตลาดจีนลดลงหมดทุกกลุ่มทุกประเภท ยอมรับว่าเที่ยวบินเช่าเหมาลำและตลาดกรุ๊ปทัวร์ลดลง ก็ควรหารือและแก้ไขที่จุดนั้นๆ โดยสิ่งที่พอคาดเดาได้ของกรุ๊ปทัวร์จีน

ชี้ไม่ควรแก้ด้วยเรื่องราคาอย่างเดียว 

แต่ถ้ายังไม่แก้ปัญหา แนวโน้มน่าจะลดลงไปอีก ไม่ควรไปแก้ด้านราคาอย่างเดียว ขณะเดียวกัน อยากให้พิจารณาแยกแยะนักท่องเที่ยวจีน ไม่เหมาเอาหมดว่าตลาดจีนลดลงหมดทุกกลุ่มทุกประเภท ผมยอมรับว่าเที่ยวบินเช่าเหมาลำ (ชาร์เตอร์ไฟลต์) และตลาดกรุ๊ปทัวร์ลดลง ถึงเวลาที่ควรหารือ และแก้ไขที่จุดนั้นๆ

ทั้งนี้ มีข้อมูลอีกประการที่รับทราบมาคือ ทางการจีนกำลังจะเพิ่มจำนวนผู้ถือหนังสือเดินทาง (พาสปอร์ต) ให้มีปริมาณมากกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัว จากจำนวนคนจีนที่เดินทางออกนอกประเทศจากปีละ 100 ล้านคน เพิ่มเป็น 300 ล้านคนในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ซึ่งเราต้องคำนึงถึงประสิทธิภาพของการบริหารจัดการไว้ล่วงหน้า ทั้งเรื่องความสะดวก ความสะอาด ความปลอดภัย และความสงบเรียบร้อยในแหล่งท่องเที่ยว

ททท.รับลูกเชื่อช่วยเรื่องยอดนักท่องเที่ยวได้

ด้าน นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า ททท.ได้จัดทำแคมเปญส่งเสริมการตลาดปลายปีไว้แล้ว แต่กลัวว่าอาจจะไม่โดน และไม่เป็นยาแรงอย่างที่นายสมคิด รองนายกฯต้องการ แต่หากได้มาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่าในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีนี้จะช่วยได้มากๆ สามารถดึงนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาได้ และผู้ประกอบการ

ท่องเที่ยวอยากให้มีมาตรการทางวีซ่า หลังได้หารือกับภาคเอกชนรอบล่าสุด เมื่อวันที่ 12 ตุลาคมที่ผ่านมา ภาคเอกชนต้องการมาตรการวีซ่าแบบดับเบิล เอ็นทรี วีซ่า (Double Entry Visa) หรือจ่ายค่าวีซ่าสำหรับเดินทางเข้า 1 ครั้งในอัตรา 1,000 บาทต่อคน แต่สามารถเดินทางเข้าประเทศไทยได้ 2 ครั้ง ภายในระยะเวลา 180 วัน

เรื่องฟรีค่าธรรมเนียม 2,000 บาท/คน ในการทำวีซ่าฟรี ณ ด่านตรวจคนเข้าเมืองให้กับนักท่องเที่ยวจีนและประเทศอื่นๆ รวม 21 ประเทศ คาดจะสูญเสียรายได้ 2 เดือนคือช่วง 15 พฤศจิกายน 2561-15 มกราคม 2562 วงเงิน 3,000 ล้านบาท แต่การกระตุ้นการท่องเที่ยวช่วงปลายปีนี้ คาดว่า เฉพาะนักท่องเที่ยวจีนจะกลับมายังไทย ประมาณ 1.5 ล้านคนหรือมีรายได้เพิ่ม 7.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือว่าคุ้มและปริมาณนักท่องเที่ยวจีนจะเพิ่มได้ตามเป้า 10.5-12 ล้านคน และเรื่องนี้ช้าไม่ได้ต้องเร่งเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่ออนุมัติเร่งด่วน

คาดไทยสูญเสียรายได้จากมาตรการนี้3พันล.

ประเทศอาจจะสูญเสียรายได้จากมาตรการฟรีค่าธรรมเนียม VOA ประมาณ 3,000 ล้านบาท ในช่วง 2 เดือนที่เหลือนี้ (พฤศจิกายน-ธันวาคม) แต่คาดว่ารายได้ที่จะเกิดจากการใช้จ่ายของ

นักท่องเที่ยวจีนจำนวน 1.5 ล้านคน ที่น่าจะเข้ามาในช่วง 2 เดือน ที่ใช้มาตรการนี้จะมีมูลค่าราว 7.5 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ สิ่งที่ประเทศไทยควรทำควบคู่ไปด้วย คือการวางกรอบมาตรฐานด้านความปลอดภัยเพื่อสร้างความมั่นใจว่านักท่องเที่ยวที่มาเมืองไทยจะได้รับการดูแลที่ดี ขณะที่ภาคเอกชนก็ต้องร่วมแรงกันดูแลนักท่องเที่ยวด้วย

เตรียมแผนดึงนักท่องเที่ยวอาเซียนเข้าไทย

ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เริ่มมีการกำหนดตัวชี้วัดขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาวของประเทศ ในเรื่องกำหนดในเรื่องของการตลาดในประเทศ คิดเป็นประมาณไม่ต่ำกว่า 33% หากตลาดจีนหายไป ทาง ททท.หวังจะนำตลาดอาเซียนเข้ามาหนุนเพราะคำนวณแล้วถ้านำตัวเลขนักท่องเที่ยวอาเซียนมาคำนวณ ก็จะใกล้เคียงกับนักท่องเที่ยวจีน แต่อาจจะต่างกันที่ค่าใช้จ่ายของอาเซียนยังต่ำอยู่ อาจเป็นเพราะบริการต่างๆ ในประเทศไทยยังไม่ตรงต่อความต้องการของกลุ่มประเทศอาเซียน ฉะนั้น ควรปรับเพิ่มกิจกรรมที่กระตุ้นการใช้จ่ายให้มากขึ้น

นอกจากจะมีแผนกระตุ้นในต่างประเทศแล้ว จะเพิ่มการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศด้วยเช่นกัน โดยมีแผนที่จะจัดกิจกรรมตามแนวตะเข็บ ซึ่งจะดึงดาราและศิลปินที่เป็นที่ชื่นชอบของพื้นที่นั้น ลงไปทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายในช่วงวันหยุดอีกด้วย

โดยในปีหน้ายังคงทำตลาดภายใต้แบรนด์ Amazing Thailand กระตุ้นให้นักท่องเที่ยวกลุ่มเป้าหมายต่างๆ เกิดการเดินทางจริง เพื่อสร้างรายได้หมุนเวียนในประเทศ พร้อมปรับสัดส่วนนักท่องเที่ยวระหว่างเมืองหลักและเมืองรองให้สมดุลมากขึ้น และคาดการณ์ว่า ในปี 2562 จำนวนนักท่องเที่ยวจะโต 10-12%

และตั้งเป้ารายได้ในส่วนของตลาดจีนไว้ประมาณ 15% ของรายได้ทั้งหมด

คาดอนาคตนักท่องเที่ยวจีนโตไม่หวือหวา

ในช่วงหลังจากนี้การเติบโตของนักท่องเที่ยวจีนจะไม่หวือหวาเหมือนในอดีต ซึ่งจะค่อยๆ โต ส่วนหนึ่งอาจโตจากขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารของสนามบิน และอาจมีการโตขึ้นเพียง 10% ซึ่งเป็นจังหวะที่ทำให้ประเทศไทยตื่นตัวพอสมควร ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับที่เอกชนคาดการณ์ไว้ นอกจากนี้ ทางรัฐและเอกชนยังคงต้องสร้างแคมเปญร่วมกันเพื่อกระตุกความรู้สึกของนักท่องเที่ยวได้บ้าง

ด้าน นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่าจากสถิติเมื่อปี 2560 มีนักท่องเที่ยวจีนมาจมน้ำเสียชีวิตในประเทศไทย 70 คน คิดเป็น 40% จากจำนวนผู้ที่จมน้ำแล้วเสียชีวิตทั่วโลก นอกจากนี้ ยังมีจำนวนหนังสือเดินทางของชาวจีนที่มาไทย สูญหาย 1,080 เล่ม โดยแบ่งเป็น 80% ที่ถูกฉกชิง ส่วนอีกที่ 20% นักท่องเที่ยวจีนทำหายเอง

ขณะที่ตัวแทนจากกระทรวงการต่างประเทศรายงานต่อที่ประชุมว่า ในปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวจีนยื่นขอวีซ่ากับสถานทูตและสถานกงสุลรวม 9 สำนักงาน เดือนละ 679,000 เล่ม ขณะนี้จะนำระบบการยื่นขอวีซ่าออนไลน์ (E-Visa) มาใช้ ซึ่งสามารถยื่นเอกสารและจ่ายค่าธรรมเนียมผ่านระบบออนไลน์ได้เลย ในส่วนนี้จะช่วยให้นักท่องเที่ยวเอฟไอทีมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ด้านตลาดกรุ๊ปทัวร์จะมีช่องทางยื่นขอวีซ่าผ่านระบบออนไลน์เช่นกัน นอกจากนี้ วันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ เป็นต้นไป จะเปิดให้ขอวีซ่า VOA ผ่านระบบออนไลน์ (E-VOA) ได้

เอกชนปรับลดเป้านักท่องเที่ยว เหลือ35ล้านคน

นายอิทธิฤทธิ์ กิ่งเล็ก ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) กล่าวว่า ตัวเลขการท่องเที่ยวไทยในช่วงสามไตรมาสที่ผ่านมาของปีนี้นั้นอยู่ที่ประมาณ 28-29 ล้านคน ถือว่าเข้าเป้ามาตลอดจากเป้าหมายที่ตั้งไว้ตลอดทั้งปี 39 ล้านคน เติบโตจากปีก่อน ซึ่งอยู่ที่ราว 35 ล้านคน ทว่า ตัวเลขการเติบโตกลับมาสะดุดหลังจากนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้ามาน้อยลงจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นไปก่อนหน้านี้

ดังนั้น สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยคงจะมีการปรับเป้าหมายปริมาณนักท่องเที่ยวตลอดปี 2561 ลดลงเหลือ 35 ล้านคน

สำหรับการลดลง 4 ล้านคนนั้น แบ่งเป็นชาวจีนกว่า 2 ล้านคน หรือคิดเป็น 50% ของทั้งหมด ส่วนที่เหลือเป็นนักท่องเที่ยวชาติอื่น ขณะที่รายได้จากการท่องเที่ยวตลอดทั้งปีนั้นจะปรับลดลง 1 แสนล้านบาท จากเดิมตั้งเป้าไว้ที่ 3 ล้านล้านบาทแบ่งเป็นรายได้นักท่องเที่ยวต่างประเทศ 2 ล้านล้านบาท จะปรับลดลงเหลือ 1.9 ล้านล้านบาท และรายได้จากนักท่องเที่ยวในประเทศ 1 ล้านล้านบาท

คาดกระทบยาวถึงตรุษจีนปีหน้า

อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ดังกล่าวจะส่งผลกระทบยาวไปจนถึงปี”62 โดยเฉพาะช่วงตรุษจีนในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นวันหยุดยาวของชาวจีนนั้น คาดว่ายอดนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางเข้ามาจะลดลง 15-20% เนื่องจากตลาดยังไม่กระเตื้องเพราะเหตุการณ์ที่ผ่านมา เช่น เรือล่มมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก หรือเรื่องของการทำร้ายนักท่องเที่ยวจีนภายในสนามบิน ซึ่งล้วนแต่เป็นเรื่องทางอารมณ์ของนักท่องเที่ยวจีนที่จะเข้ามา

ซึ่ง นางสาวศุภวรรณ ถนอมเกียรติภูมิ นายกสมาคมโรงแรมไทย (ทีเอชเอ) ในฐานะบริษัทเอกชน ได้ให้ข้อเสนอแนะว่า ปีนี้การที่นักท่องเที่ยวหายไป เพราะปัจจัยเกี่ยวเนื่องกันหลายอย่าง ถาโถมเข้ามาพร้อมๆ กัน ทั้งปัจจัยภายนอกและภายใน จึงอยากให้ภาครัฐเข้ามาช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวมากขึ้น เพราะที่ผ่านมาผู้ประกอบการเป็นฝ่ายช่วยเหลือตนเองมาโดยตลอด ถึงแม้จะมีโครงการหลายโครงการเกิดขึ้น แต่ก็ยังเห็นผลไม่ชัดเจนมากนัก หากภาครัฐสามารถประชาสัมพันธ์ถึงด้านดีของประเทศ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ใหม่ๆ

อาจช่วยกระตุ้นนักท่องเที่ยวให้อยากเดินทางมาไทยมากขึ้นได้

สอดคล้องกับ นายภูริวัจน์ ลิ้มถาวรรัตน์ นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ (สทน.) ที่ระบุว่า ในภาวะที่นักท่องเที่ยวจีนหายไปจำนวนมากนี้ อยากชวนให้คนไทยออกมาเที่ยวในประเทศไทยมากขึ้น เนื่องจากจะเป็นการช่วยเหลือคนไทยด้วยกันเอง ทำให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในประเทศมากขึ้น และเมืองไทยก็ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามอีกมากมาย ที่คนไทยบางคนอาจยังไม่เคยไป จึงอยากให้ใช้โอกาสนี้ออกเดินทางท่องเที่ยวมากขึ้น ซึ่งพบว่าปีนี้มีประชาชนออกเดินทางท่องเที่ยวในประเทศเพิ่มขึ้น 3-5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา จึงอยากฝากให้ภาครัฐทำแผนการตลาด และกระตุ้นการท่องเที่ยวทั้งคนไทยเองและชาวต่างชาติอย่างต่อเนื่องต่อไป

คงต้องติดตามกันว่า การใช้ยาแรงของรัฐในครั้งนี้จะช่วยดึงความมั่นใจจากนักท่องเที่ยวจีนให้กลับมาเที่ยวไทยได้อย่างที่หวังหรือไม่

แต่อย่างน้อยผลของเรื่องนี้ก็สามารถกระตุ้นให้หลายหน่วยงานตื่นตัว และหันมาใส่ใจในเรื่องของการให้บริการและความปลอดภัยมากขึ้น ส่วนเรื่องของแผนปี 2562 ที่ทาง ททท.เตรียมดึงตลาดอาเซียนมาช่วยหนุนเศรษฐกิจไทย

จะช่วยได้มากน้อยเพียงไหน ต้องรอดู

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image