ท่องเที่ยวครึ่งปีหลังกำภารกิจร้อน… ททท.-เอกชนงัดทุกวิธีปั๊มรายได้ 3.88 ล้านล.

ดูเหมือนช่วงครึ่งแรกของปี 2562 (มกราคม-มิถุนายน) ภาคการท่องเที่ยว หนึ่งในเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย เริ่มมีอาการลมจับไม่ต่างกับภาคการส่งออกที่ช่วง 5 เดือน (มกราคม-พฤษภาคม) ติดลบแล้ว 2.7% เพราะการท่องเที่ยวไทยถูกกดดันทั้งปัจจัยนอกประเทศและในประเทศ อาทิ เศรษฐกิจโลกชะลอตัวจากผลของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน การจัดตั้งรัฐบาลใหม่ล่าช้า และล่าสุดปัญหาเงินบาทแข็งค่ากระทบต่อการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยว ทำให้หลายฝ่ายเริ่มกังวลว่าหากทั้งภาคท่องเที่ยวและส่งออกง่อนแง่นจะกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทย (จีพีดี)ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดว่าจีดีพีประเทศไทยปีนี้จะขยายตัวที่ 3.3%

ททท.หั่นเป้าท่องเที่ยว

ความกังวลต่อสถานการณ์ท่องเที่ยวมาจากกรณี การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ออกมาหั่นเป้ารายได้ของภาคการท่องเที่ยว หลังจากยืนยันมาตลอดว่าภาพเติบโตดี แต่ล่าสุดยอมรับว่าปี 2562 ภาคการท่องเที่ยวอาจจะไม่สามารถเติบโตในด้านรายได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ จึงมีการปรับคาดการณ์เป้าหมายรายได้ลดลง เติบโตเหลือ 9.5% จากเดิมตั้งเป้าหมายเติบโต 10% เหลือมูลค่าการเติบโต 3.38 ล้านล้านบาท จากเดิมคาดว่าจะโตระดับ 3.4 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นรายได้จากการท่องเที่ยวลดลงประมาณ 2 หมื่นล้านบาท

โดย ยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ระบุว่า สถานการณ์การท่องเที่ยวปีนี้เผชิญหน้ากับสารพัดปัญหาที่เข้ามากระทบอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่กรณีเรือนักท่องเที่ยวจีนล่มที่จังหวัดภูเก็ตเมื่อช่วงปลายปี 2561 เรื่อยมาจนถึงสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน (เทรดวอร์) ส่งผลกระทบทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว และแนวโน้มค่าเงินบาทที่แข็งค่าเพิ่มขึ้นตั้งแต่ต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะแข็งค่าต่อไปอีกสักพัก โดยค่าเงินบาทไทยแข็งค่ามากกว่าสกุลเงินของประเทศเพื่อนบ้านและประเทศในแถบภูมิภาคเดียวกัน รวมถึงราคาน้ำมันที่อยู่ในทิศทางขาขึ้น และสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศหลังจากที่การเลือกตั้งแล้วเสร็จแต่ยังตั้งรัฐบาลไม่ได้ทำให้การจัดทำงบประมาณรายจ่ายปี 2563 ล่าช้าออกไปอีก

Advertisement

“ด้วยสารพัดปัญหาที่ถาโถมเข้ามา ทำให้ ททท.ต้องกระตุ้นตลาดนักท่องเที่ยวต่างประเทศ เพื่อให้ช่วง 6 เดือนที่เหลือหลังจากนี้ สามารถเร่งสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวให้มากที่สุด เพราะหากไม่มีการกระตุ้นตลาดเพิ่มเติม คาดว่ารายได้จากการท่องเที่ยวในปีนี้จะโตเพียง 7% เท่านั้น”

รายได้3.38ล้านล.ทำได้แน่

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าสถานการณ์ต่างๆ ทั้งจากภายในและภายนอกประเทศจะออกมาเป็นอย่างไร ททท.มั่นใจว่าการเติบโตจะอยู่ที่ 9.5% แบ่งเป็นรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 2.21 ล้านล้านบาท และรายได้จากการท่องเที่ยวในประเทศ 1.17 ล้านล้านบาท ซึ่งเป้าหมายดังกล่าว ททท.จะต้องเร่งทำให้เป็นไปตามเป้าให้ได้ โดยตลอดทั้งปีนี้คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาเที่ยวในประเทศไทยกว่า 40.2 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา ที่มี 38.3 ล้านคน ขณะที่คนไทยเดินทางเที่ยวในประเทศจะเพิ่มขึ้นเป็น 170 ล้านคนต่อครั้ง จากปี 2561 มีการเที่ยวในประเทศจำนวน 162 ล้านคนต่อครั้ง

Advertisement

ยุทธศักดิ์ยอมรับว่า ปัจจุบันรายได้จากการท่องเที่ยวของไทยเติบโตล่าช้ากว่าเป้าหมายอยู่ประมาณ 2-3% แต่ยังเชื่อว่าภายใน 6 เดือนที่เหลือของปีนี้ ททท.จะสามารถผลักดันรายได้จากการท่องเที่ยวให้ถึง 3.38 ล้านล้านบาทได้ ผ่านการกระตุ้นตลาดระยะใกล้ นั่นคือ ตลาดประเทศในอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ และตลาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออก อาทิ เกาหลี ญี่ปุ่น รวมถึงตลาดจีนที่คาดว่านักท่องเที่ยวจีนในไตรมาส 3 ปีนี้จะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2561 ประมาณ 5-10%

ผู้ว่าการ ททท.ยังย้ำว่า แผนการทำงานในครึ่งหลังของปีนี้ ททท.จะเดินหน้ารุกตลาดที่มีอัตราการเติบโตดีและเป็นนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพในการใช้จ่ายด้านท่องเที่ยว รวมถึงมุ่งทำตลาดในส่วนที่เป็นนักท่องเที่ยวเฉพาะกลุ่มมากขึ้น โดยสั่งการให้ผู้บริหาร และผู้อำนวยการสำนักงาน ททท.ในทุกภูมิภาคทั่วโลก ต้องจัดทำแผนงานที่เหลือของทั้งปี เพื่อให้จำนวนรายได้เติบโตต่อไป ถึงแม้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะทรงตัวหรือบวกได้ไม่มากนัก

หวังเทรดวอร์กระตุ้นททท.จีนมาไทย

อย่างไรก็ตาม อีกมุมหนึ่ง ททท.ยังเชื่อว่าสงครามการค้าของสองยักษ์ใหญ่จะทำให้ประเทศไทยได้อานิสงส์ในเชิงบวกของภาคการท่องเที่ยว เพราะหากเศรษฐกิจในประเทศจีนไม่ดีนัก นักท่องเที่ยวจีนอาจจะหลีกเลี่ยงการเดินทางท่องเที่ยวประเทศในระยะไกล และหันมาเที่ยวในประเทศระยะใกล้ๆ มากขึ้นด้วย ซึ่งประเทศไทยก็ยังถือเป็นจุดมุ่งหมายอันดับหนึ่งที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกเลือกเดินทางมา

ปี”64รายได้ต้องถึง4ล้านล.

ส่วนปี 2563 ททท.ยังคงตั้งเป้าหมายการเติบโตด้านรายได้จากการท่องเที่ยวที่ 10% และตั้งเป้าจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ 42 ล้านคน สร้างรายได้2.43 ล้านล้านบาท และคนไทยเที่ยวในประเทศ 185 ล้านคนต่อครั้ง สร้างรายได้ 1.287 ล้านล้านบาท รวมรายได้กว่า 3.72 ล้านล้านบาท โดยตั้งเป้าหมายผลักดันรายได้จากการท่องเที่ยวให้ได้ถึง 4 ล้านล้านบาท ในปี 2564 เพื่อให้เป็นไปตามตัวชี้วัดตามวิสัยทัศน์อันดับประเทศที่มีรายได้จากการท่องเที่ยวมากสูงสุดติด 1 ใน 5 อันดับแรกของโลก

อาเซียนเที่ยวไทยคึกคัก

ด้าน กฤษฎา รัตนพฤกษ์ ผู้อำนวยการภูมิภาคอาเซียน เอเชียใต้ และแปซิฟิกใต้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) แสดงความเห็นว่า ช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ตัวเลขรายได้จากตลาดอาเซียนเติบโตดี เพราะได้รับอานิสงส์จากการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศอาเซียนเอง อาทิ สปป.ลาว ได้รับอานิสงส์จากการลงทุนของจีน ทำให้คนมีรายได้มากขึ้น ออกเดินทางท่องเที่ยวมากขึ้น ซึ่งกลุ่มคนที่มีการเที่ยวมากขึ้นเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนทำงานและกลุ่มครอบครัว เลือกเดินทางเข้ามาเที่ยวในประเทศไทยถึงแม้ค่าเงินบาทจะแข็งค่ามากกว่าประเทศในแถบภูมิภาคเดียวกันกว่า 10% แต่ตลาดอาเซียนก็ยังเดินทางมาเที่ยวในไทยอยู่ เพราะประชาชนพึ่งจะมีรายได้สูงจึงใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวเพื่อหาความสุข

ทั้งนี้ ภาพรวมตัวเลขการเติบโตของตลาดอาเซียนช่วง 5 เดือนอยู่ที่ 7.8% ถึงแม้จะมีบางประเทศที่ติดลบบ้างเล็กน้อย อาทิ สิงคโปร์ สาเหตุที่ติดลบมาจากสถานการณ์ฝุ่นพีเอ็ม 2.5 ในประเทศไทย และภาวะเศรษฐกิจของจีนที่ชะลอตัวลง เนื่องจากสิงคโปร์มีการค้าขายกับจีนค่อนข้างสูงทำให้ได้รับผลกระทบไปด้วย รวมถึงการเมืองไทยที่มีการเลือกตั้งครั้งแรกในรอบ 5 ปี ซึ่งคนสิงคโปร์ยังมีภาพจำว่า หากประเทศไทยมีการเลือกตั้งแล้ว จะต้องเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองหรือการเดินขบวนชุมนุมประท้วงทุกครั้งไป ซึ่งพื้นฐานของตลาดสิงคโปร์มีความอ่อนไหวมากเหมือนประเทศญี่ปุ่น ส่วนตลาดที่เติบโตในแง่รายได้สูงสุดได้แก่ เมียนมา อินโดนีเซีย และเวียดนาม มีปัจจัยสนับสนุนเป็นเส้นทางบินที่เข้าถึงไทยมาก ทำให้ไทยสามารถกวาดนักท่องเที่ยวจากตลาดอาเซียนเพิ่มเข้ามาได้มากขึ้น

การเมืองปัญหาเดียวกระทบนักท่องเที่ยวต่างชาติ

อย่างไรก็ตาม ผู้อำนวยการภูมิภาคอาเซียน เอเชียใต้และแปซิฟิกใต้ ททท. ยังชี้ว่า ตลาดอาเซียนมีแนวโน้มเติบโตได้ดีในอนาคต แต่เรื่องที่ยังเป็นปัญหาเพียงเรื่องเดียวของประเทศไทยคือ การเมือง เนื่องจากหากการเมืองไทยยังไม่นิ่ง ยังมีความไม่แน่นอน มีกระแสข่าวต่างๆ ออกมาตลอดเวลา จะเป็นการไปกระตุ้นภาพจำในแง่ลบของนักท่องเที่ยวในตลาดเหล่านี้ ทำให้ภาคการท่องเที่ยวไทยมีความอ่อนไหวค่อนข้างสูง

จัดโปรเพิ่มน้ำหนักประเป๋า

ล่าสุด ททท.วางแผนจะจัดทำแคมเปญ “give me five” เพื่อกระตุ้นตลาดอาเซียน ด้วยการร่วมมือกับสายการบิน ในการเพิ่มน้ำหนักกระเป๋าขาออกให้ฟรี 5 กิโลกรัม เพื่อให้นักท่องเที่ยวที่เข้ามาซื้อสินค้าในประเทศไทย ไม่ต้องกังวลในเรื่องของน้ำหนักกระเป๋า เพราะได้น้ำหนักกระเป๋าฟรี 5 กิโลกรัม หากนักท่องเที่ยวเดินทางออกไปยังประเทศในกลุ่มอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ และแคมเปญยังร่วมมือกับห้างสรรพสินค้าต่างๆ อาทิ เซ็นทรัลกรุ๊ป จัดโปรโมชั่นลดราคาสินค้า 10% ขึ้นไปให้กับนักท่องเที่ยวในตลาดอาเซียนและอินเดีย เพียงแค่โชว์พาสปอร์ตเท่านั้น

คาดว่าแคมเปญนี้จะสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวในตลาดอาเซียนและอินเดียเข้ามาเพิ่มอีก 1-2 แสนคนมีเม็ดเงินสะพัดในประเทศประมาณ 1-2 หมื่นล้านบาท ภายในระยะเวลา 3 เดือน ขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือร่วมกับสายการบิน คาดว่าจะเริ่มต้นแคมเปญนี้ได้ประมาณเดือนสิงหาคมนี้ รวมถึงจะมีการทำโปรโมชั่นร่วมกับสายการบินในการลดราคาตั๋วเครื่องบิน หรือให้สิทธิพิเศษเพิ่มเติม เพื่อกระตุ้นตลาดในลาวและกัมพูชาเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นครั้งแรกที่หันมากระตุ้นตลาดในระยะใกล้ขนาดนี้ เพราะมองว่ามีอัตราการเติบโตที่ดีมาก ถึงแม้ที่ผ่านมาจะกระตุ้นน้อยแต่ก็ยังเติบโตดีได้ด้วยตัวเอง

หวังรายได้ตลาดอาเซียนโต 10%

จากแคมเปญดังกล่าว คาดว่าตลาดอาเซียนครึ่งปีหลังจะเติบโต 7-8% เพราะ ททท.มีการกระตุ้นเต็มที่ ซึ่งเป็นการกระตุ้นแบบต้านแรงลม ไม่ให้ตัวเลขการเติบโตลดลงเท่านั้น เพราะหากไม่กระตุ้นเพิ่มตัวเลขการเติบโตอาจจะลดลงตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวได้ โดยคาดว่าปี 2562 ทั้งปีรายได้การท่องเที่ยวของตลาดอาเซียนจะโตที่ 10% ส่วนจำนวนนักท่องเที่ยวน่าจะเข้ามาไม่ต่ำกว่า 11 ล้านคน

เจาะคู่รักอินเดียแต่งงานในไทยมากขึ้น

ขณะที่ตลาดอินเดียพบว่า ตัวเลขเติบโตขึ้นสูงมากในช่วง 5 เดือนแรก เติบโตแล้ว 20% โดยมีการกระตุ้นผ่านบริษัทท่องเที่ยวขนาดใหญ่ของอินเดียประมาณ 10 ราย ซึ่งมีตัวแทนย่อยของบริษัทเหล่านี้อีกกว่า 100 ราย เพราะอินเดียใช้หลายภาษา ทำให้ต้องใช้บริษัทเหล่านี้ในการกระตุ้นการท่องเที่ยว ซึ่งไทยมีเที่ยวบินตรงรองรับถึง 14 สาย ทำให้ไทยมีช่องทางในการกระตุ้นตลาดอินเดียได้มากขึ้น โดยจะดึงดูดให้มีการเข้ามาจัดงานแต่งงานในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น จากที่เข้ามาอยู่แล้วประมาณ 200 คู่ต่อปี เพื่อให้รายได้จากนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ขยายตัว ซึ่งใน 6 เดือนหลังจากนี้จะพยายามดันไม่ให้เติบโตน้อยกว่าช่วงครึ่งปีแรก เพราะหากทำได้จะทำให้ไทยมีเสถียรภาพในเรื่องของจำนวนนักท่องเที่ยว คาดว่าทั้งปี 2562 จำนวนนักท่องเที่ยวอินเดียจะเติบโตอยู่ที่ 2 ล้านคน

จากแผนงานที่ ททท.ได้เตรียมใช้เป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนให้ภาคการท่องเที่ยวเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้นั้น ดูเหมือนจะสอดคล้องกับความต้องการของภาคเอกชน ที่เคยเปรยๆ ออกมาว่า ต้องการให้ภาครัฐช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวให้กระเตื้องขี้นมากกว่าเดิม ผ่านการจัดทำโครงการหรือแคมเปญต่างๆ

เอกชนย้ำออกแคมเปญกระตุ้น

โดย ชัยรัตน์ ไตรรัตนจรัสพร ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) ระบุว่า ช่วงที่เหลือของปีนี้ ทั้งภาคเอกชนและภาครัฐต่างก็พยายามที่จะกระตุ้นให้ภาคการท่องเที่ยวมีการเติบโตมากขึ้น โดยเฉพาะในแง่ของรายได้จากการท่องเที่ยว ซึ่งตนเคยเสนอว่าหากจะมีการใช้เม็ดเงิน 1 แสนล้านบาท อัดฉีดเข้ามาในระบบเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังนั้น มองว่าเม็ดเงิน 1 แสนล้านบาทนี้น่าจะสามารถช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวได้ในรูปแบบของการออกมาตรการจูงใจต่างๆ อาทิ การออกคูปองส่วนลดในส่วนของผู้สูงอายุในการออกเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ หรือออกคูปองส่วนลดทั้งประเทศ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเที่ยวในประเทศเพิ่มเติม ส่วนการดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติก็อาจจะมีการขยายพื้นที่การขายสินค้าแล้วสามารถทำการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่นักท่องเที่ยว (แวตรีฟันด์ ฟอร์ ทัวริสต์) ได้ในห้างสรรพสินค้าทั่วประเทศ

ส่วนแผนของ ททท.ที่เตรียมกระตุ้นตลาดอาเซียนและตลาดในระยะใกล้นั้น ถือว่ามีความเป็นไปได้ที่จะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวจากประเทศในแถบเพื่อนบ้านไทยเข้ามาได้มากขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมามีจำนวนนักท่องเที่ยวในอาเซียนเพิ่มเข้ามาเที่ยวไทยมากขึ้น และถี่ขึ้น อาจจะเพราะด้วยระยะทางที่ไม่ไกลมากนัก ประกอบกับมีความคล้ายคลึงกันในหลายๆ ด้าน รวมถึงทั้ง 10 ประเทศอาเซียนก็มีอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจที่อยู่ในเกณฑ์ดี ทำให้มีกำลังใช้จ่ายที่ดีตามไปด้วย ซึ่งการกระตุ้นตลาดและดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เดินทางเข้ามาเที่ยวในประเทศไทยมากขึ้นนั้น ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดๆ ก็มองว่าเป็นเรื่องที่ดีทั้งนั้น แต่ควรที่จะกระจายนักท่องเที่ยวต่างชาติ และรายได้จากนักท่องเที่ยวให้ลงไปในหลายๆ ภาคส่วน เพื่อให้ภาคการท่องเที่ยวเป็นเครื่องมือที่ช่วยสร้างรายได้ให้กับชุมชน และผู้ประกอบการที่อยู่ในแวดวงของภาคการท่องเที่ยวด้วย

หนุนแพคเกจเที่ยวรวมทั้งอาเซียน

ประธาน สทท.ยังแสดงความเห็นเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันภาคการท่องเที่ยวถือว่ามีการแข่งขันที่สูงมาก ทำให้ประเทศไทยต้องมีการพัฒนาเพิ่มเติมในอีกหลายด้าน ขณะนี้ประเทศในแถบเพื่อนบ้านไทยมีการพัฒนาภาคการท่องเที่ยวในหลายด้านเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นประเทศไทยอาจจะต้องเปลี่ยนจากการแข่งขันการท่องเที่ยวกับประเทศเพื่อนบ้าน เป็นพึ่งพาและสนับสนุนกันมากขึ้น อาทิ การกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเที่ยวทั้งไทยและประเทศเพื่อนบ้านไปด้วย อาทิ การจัดทำโปรโมชั่นแพคเกจท่องเที่ยว ซื้อแพคเกจเดียวสามารถเที่ยวได้ 3 ประเทศ อาทิ ไทย ลาว กัมพูชา หรืออาจจะมีรายการให้นักท่องเที่ยวสามารถเลือกประเทศที่ต้องการเที่ยว โดยการเลือกประเทศไทยเป็นจุดมุ่งหมายหลัก เพื่อให้นักท่องเที่ยวรู้สึกถึงความพิเศษที่ได้รับ และสร้างความประทับใจใหม่ๆ เพิ่มขึ้น

จากบรรยากาศท่องเที่ยวไทย ดูเหมือนว่า ททท.จะเดินมาถูกทางแล้ว เพราะเอกชนก็เห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า การออกแคมเปญกระตุ้นท่องเที่ยว การเจาะตลาดอาเซียนและอินเดีย คือ เป้าหมายที่ควรพุ่งชน หลังจากนี้ต้องขึ้นอยู่กับความร่วมมือของทุกฝ่ายแล้วว่าจะผลักดันภาคท่องเที่ยวไทยท่ามกลางอุปสรรคต่างๆ ให้เติบโตตามเป้าหมาย 9.5% คิดเป็นรายได้ประเทศ 3.38 ล้านล้านบาท เพื่อพยุงจีพีดีไทยให้เติบโตถึง 3.3% ตามที่ ธปท.คาดการณ์

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image